หากชีวิตเปรียบเสมือนการเดินทาง ความสวยงามจะอยู่แห่งหนใดกันแน่ ระหว่างปลายทางกับระหว่างทาง คำถามนี้นำไปซึ่งการหาคำตอบที่มหัศจรรย์ ทว่า ชีวิตทุกคนก็แตกต่างกันไปตามเจตจำนงที่แตกต่างกัน แต่เราทุกคนก็ล้วนมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน ก็คือต้องการความยอมรับจากผู้คนรอบข้างตัวเรา โดยเฉพาะกับคนที่เรารักมากที่สุด แล้วไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา ทุกสิ่งล้วนมีเหตุผลของมัน และมันก็ย่อมสวยงามอย่างนั้นเสมอมา.
ระหว่างทาง คือประสบการณ์ที่สวยงามที่สุด
ชีวิตที่แท้จริงมันไม่ได้อยู่ที่ปลายทางที่เราหมุดหมายเอาไว้ แต่หากเป็นเพียงระหว่างทางเดินที่เรากำลังย่างก้าวไปในทุกวัน มีหลายคนที่กำลังหลงผิดคิดไปว่า การที่เราจะประสบความสำเร็จคือการที่มีทุกสิ่งทุกอย่างมารออยู่ที่ปลายทาง แต่กลับกลายเป็นความสวยงามของชีวิตไม่ใช่อยู่ที่ไหนบนโลกนี้ ต่อให้เป็นสถานที่สุดแสนโรแมนติก หรือว่าสถานที่ที่เราอยากจะจดจำไปทั้งชีวิต ก็ไม่เท่าระหว่างทางเดินที่เรากำลังเดินไป ถ้าเราเป็นแมลงตัวหนึ่ง เราก็คงจะเพลิดเพลินกับโลกอันกว้างใหญ่ แต่จริง ๆ แล้วมันก็อาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไป เพราะสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตล้วนต้องการเหตุผลในการมีชีวิตอยู่ด้วยกันทั้งนั้น แมลงที่ดูเหมือนไม่ทุกข์ มันก็อาจจะกำลังหาหนทางเอาตัวรอดอยู่ก็เป็นได้.
ดอกไม้จะสวยงามได้อย่างไรหากไม่มีสีสัน แล้วชีวิตจะสวยงามได้อย่างไรหากเราเพิกเฉยมันไป การมองอย่างละเอียดลึกซึ้งในสิ่งที่เราพานพบ สิ่งนี้จะช่วยให้เรามองอะไรตามสิ่งที่มันเป็นไป ไม่ได้มองอย่างสิ่งที่เราอยากให้มันเป็น ซึ่งถ้าเราใช้ความคิดอย่างแท้จริง เราจะพบเจอทางออกว่า ชีวิตก็คือความเข้าใจและยอมรับมันแค่นั้นเอง ไม่จำเป็นต้องดึงดันกับทุกสิ่ง ถ้าเราโดนแฟนบอกเลิก เราก็แค่กลับมาคิดทบทวนว่าอดีตที่ผ่านมาเราไม่ดีกับเขาตรงไหนบ้าง หากเราคิดแล้วคิดอีกหาทางออกไม่เจอก็อาจจะต้องยกประเด็นไปในที่ตัวแฟนเราเอง ซึ่งการใช้ชีวิตให้สวยงามคือศาสตร์และศิลป์ มันไม่มีกฎหรือหลักการที่ตายตัว มันอยู่ที่เรามีมุมมองต่อสิ่ง ๆ หนึ่งอย่างไรมากกว่า.
ภายในที่งดงาม ย่อมมีความสลักสำคัญกว่าภายนอกอันสวยงาม
เมื่อผู้คนในยุคสมัยนี้เน้นไปที่ภายนอกมากกว่าภายใน กระนั้น การที่เราจะไปบอกว่าสิ่งภายในนั้นสำคัญกว่าก็มิอาจใช่ฐานะที่เราพึงจะกล่าวได้เลย หากเรามองกันอย่างละเอียดถี่ถ้วน เราจะพบว่าปัญหามิใช่อยู่ที่ยุคสมัยเพียงอย่างเดียว แต่เป็นในเรื่องของจิตใจด้วยที่แปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา เมื่อสิ่งใดมองเห็นได้ง่ายและชัดเจนกว่า ก็จะนำมาซึ่งการคิดวิเคราะห์ได้ง่ายกว่าก็เท่านั้นเอง ซึ่งการจะแก้ไขมุมมองจึงจำเป็นต้องใช้ผู้หยั่งรู้อย่างแท้จริง รวมไปถึงผู้ที่มีปัญญารอบรู้สรรพสิ่ง เพื่อจะได้ทำเป็นตัวอย่างให้ดูว่า สิ่งใดกันแน่ที่สวยงามได้ยั่งยืนกว่ากัน ถ้าประสบการณ์รับรู้นั้นต่างกัน ความคิดก็ย่อมแตกต่างกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย.
ยิ่งนานวันเข้า ผู้คนก็จะยิ่งหลงลืมสิ่งที่ล้ำค่าภายในตนเองไปเสียหมด ระยะเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด แต่ห้วงยามของวัยที่เราจะครอบครองความหนุ่มสาวนั้นมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น กาลเวลาจะกลืนกินผู้ที่หลงโลก ที่มัวแต่มองสิ่งที่ไม่สลักสำคัญว่าสลักสำคัญ ส่วนผู้ที่มีปัญญาเท่านั้น คือผู้ที่อยู่รอดในยุคอนาคตข้างหน้าได้ ไม่ว่าจะล่วงเลยผ่านไปนานสักแค่ไหนความสวยงามที่ภายในก็จะขจรขจายไปได้ไกล กลิ่นหอมของความดีย่อมแผ่ซ่านไปทั่วทุกสารทิศ รวมไปถึงชื่อเสียงที่ได้สั่งสมมาก็ย่อมเป็นเหมือนน้ำที่เก็บเอาไว้ใช้ยามยาก หากวันใดเจอฤดูแล้ง ก็ยังพอมีน้ำในตุ่มเพื่อมาใช้ดื่มกินได้ การสะสมในสิ่งที่ดีและไม่ดี ย่อมมีผลลัพธ์ที่แตกต่างกันในระยะยาว.
สิ่งใดเกิดขึ้นสิ่งนั้นย่อมสวยงามเสมอ
มุมมองต่อสิ่ง ๆ หนึ่งย่อมแปรผันไปตามความคิดที่เคยขบคิดมาในอดีต หากเราตั้งคำถามกันไปว่า แล้วเราจะมีชีวิตที่สุขสมบูรณ์ท่ามกลางความทุกข์ได้อย่างไร มันจะพอเป็นไปได้ไหมกับการที่เราจะเปลี่ยนแปลงตัวตน โดยเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงความคิดก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งมีหลายคนกำลังสับสนว่า สรุปเราควรจะเปลี่ยนความคิดยังไง เพื่อให้ชีวิตดีขึ้น คำตอบนั้นง่ายมาก แต่การจะเริ่มต้นนั้นยากมากเช่นกัน ก็เพราะทุกคนติดกับดักการหลอกตัวเอง สมการของการมีชีวิตที่ดีขึ้น จำเป็นจะต้องเริ่มจากการกระทำก่อนเป็นอันดับแรก ต่อมาก็เริ่มกระทำสิ่ง ๆ นั้นที่เราเชื่อว่ามันเป็นการกระทำที่ทำให้ชีวิตดีขึ้นได้ ทำซ้ำต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ อย่าหยุดจนกว่าความรู้สึกเบื้องลึกจะส่งสัญญาณเตือนขึ้นมา.
ไม่มีอะไรในโลกหยุดความคิดของเราได้ เว้นแต่ว่าเราเป็นคนหยุดความคิดด้วยตัวของเราเอง สมมุติว่าเราเป็นคนที่มองโลกในแง่ร้ายสุด ๆ เวลาตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็มักจะมองว่าทุกสิ่งทุกอย่างกำลังจะมาทำร้ายเรา แม่ค้าในตลาดก็พูดจาไม่ดีกับเราบ้าง พ่อแม่ที่อยู่บ้านเดียวกันก็ไม่เคยรับฟังปัญหาของเราเลย ไม่ว่าปัญหาอะไรจะเกิดขึ้น มันไม่สำคัญเท่ากับการที่เราจะรับมือกับปัญหานั้นด้วยวิธีใด บางทีการมองโลกในแง่ดีไม่ใช่เป็นการมองให้ทุกสิ่งสวยงามตลอดเวลา แต่เราต้องมองว่าทุกอย่างมันมาเป็นบทเรียน หรือบททดสอบให้กับชีวิตของเราแทน ถ้าเราคิดแต่ว่าชีวิตที่สวยงามคือชีวิตที่ไม่เจอปัญหา นั่นอาจจะเป็นปัญหาที่ใหญ่มากกว่าเหตุการณ์ในชีวิตเองก็ได้ นั่นก็คือความคิดของเราเองนั่นแหละ.
แม้จุดที่ย่ำแย่ที่สุดก็ยังมีความสวยงามซ่อนอยู่
ชีวิตไม่ใช่สมการ 1+1 = 2 แต่อาจจะได้ผลลัพธ์เป็นตัวเลขอื่นก็เป็นได้ เมื่อเราเรียนรู้ที่จะอยู่ท่ามกลางปัญหา เราจงเข้าใจและน้อมรับมันแต่โดยดี หากเราสามารถมองแสงสว่างท่ามกลางความมืดมิดได้ เราก็จะพบเจอคำตอบที่ยากจะหาได้ เพราะการที่เราจะหาคำตอบท่ามกลางความไร้หนทางนั้น มันเป็นอะไรที่ไม่ใช่เรื่องง่ายดายนัก แถมเราอาจจะต้องต่อสู้กับพลังภายในตัวเราเอง ที่มารบกวนทุกเมื่อเชื่อวัน กระนั้น พลังใจจึงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งในการหาทางออกของชีวิต ไม่ว่าความมืดมิดจะเกิดขึ้นจากที่ใด ให้ระลึกไว้เสมอว่าสุดท้ายเราก็ยังมีเรา ไม่มีใครทำลายสิ่งที่เราวาดฝันไปได้ คำดูถูกดูแคลนก็เป็นเพียงแค่ลมปาก หากเราเองไม่ได้ยอมจำนนต่อโชคชะตา.
สิ่งที่ปรากฏให้เราเห็น ก็ไม่ต่างอะไรกับนักแสดงที่ร่ายรำให้เราเห็น การที่เราเข้าไปยึดติดถือมั่นในสิ่งต่าง ๆ มันก็อาจจะทำให้เรามีความทุกข์มากกว่าความสุขก็เป็นได้ ชีวิตไม่ใช่สิ่งที่เราจะวาดด้วยสิ่งที่เราเห็น แต่มันกลับกลายเป็นการวาดด้วยความรู้สึก และการกระทำประกอบเข้าด้วยกันอยู่เนือง ๆ ทว่า การกระทำในวันนี้มีความสำคัญยิ่งต่อทุกสรรพสิ่ง เพราะวันนี้ทำให้เรามีโอกาสที่จะเริ่มต้นอะไรใหม่ ๆ ความผิดพลาดของชีวิตไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้ชีวิตเราแย่ไปทั้งชีวิต หากเรายอมรับในความผิดพลาดเป็น แต่ถ้าเรายอมแพ้กับชีวิตแล้ว ทุกอย่างย่อมมืดมนอย่างนั้นตลอดไป เริ่มต้นที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่ออนาคตที่สวยงามดังที่วาดฝันเอาไว้.