เมื่อความทรงจำในอดีตมาทำหน้าที่จดจำทุกเรื่องราวเข้าด้วยกัน บ้างก็จดจำได้ดี บ้างก็หลงลืมกันไป แต่ชีวิตไม่เคยถูกลบเลือนด้วยความทรงจำของเราเท่านั้น เพราะเรามีคนรอบข้างของเราเพื่อที่จะบ่งบอกอัตลักษณ์ตัวตนของเราได้ว่า เรานั้นมีภาพจำเป็นอย่างไร ต่อสายตาผู้คนรอบข้างบ้าง แล้วบางครั้งมันก็ทำให้เราเจ็บปวดทุกครั้งที่มีคนยังจำภาพอันเลวร้ายของเราในอดีต แล้วยังนำการตัดสินมาใช้ยังปัจจุบันนี้สืบไป.
ภาพจำนั้นทำร้ายตัวเรามากกว่าที่เราคิด
หากเราลองย้อนเวลากลับไป ในช่วงนี้เรายังเป็นเด็ก เรากำลังวิ่งเล่นอยู่ที่สวนสาธารณะในโรงเรียน แน่นอนว่าเรากำลังมีความสุข และเราก็กำลังมีเพื่อนมากมาย บางครั้งเราหลงลืมไปว่า พื้นที่ของชีวิตเราไม่ได้มีมากมายขนาดนั้น เราอาจจะหลงผิดคิดไปเองว่า เราทำอย่างไรไปก็ได้ ทุกคนก็คงจะรับในสิ่งที่เราเป็นได้ทั้งหมด แต่กระนั้นชีวิตจึงมาเป็นตัวตอบคำถามของเราอย่างชัดแจ้งว่า ยิ่งเราใช้พื้นที่ของชีวิตเปลืองมากแค่ไหน เราก็จะไม่มีพื้นที่ยืนมากเท่านั้น แต่การที่เราเป็นเด็ก ความยอมรับของเราจึงไม่ได้มีสูงมากนัก และถ้าเรารู้เท่าทันกลไกของธรรมชาติได้ เราก็จะรับรู้ตรงกันว่า เราต้องเร่งปรับตัวให้เร็วที่สุด ก่อนที่อะไร ๆ จะสายเกินแก้.
ภาพจำที่เรายังจดจำได้อยู่ต่อบุคคลนั้น ๆ มันกลับมาทำร้ายเรามากกว่าที่เราคิด เด็กเกเรคนหนึ่ง กับเด็กเรียนคนหนึ่ง เราจะมีท่าทีต่อคนสองคนนี้ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่เพียงเพราะเราอคติ แต่เพราะคติที่เรารับรู้ของภาพจำนั้นต่างกัน บริบทจึงถึงสับเปลี่ยนกันไปมาตามตัวละครที่เราได้พบเจอ แล้วถ้าเราสังเกตกันให้ลึกลงไปกว่านั้น ภาพจำที่เราจดจำต่อไปยังวัยรุ่น วัยกลางคน หรือวัยชรา ก็ย่อมไม่ผิดแผกจากกันไปมากนัก เพราะเราจดจำภาพแรกไปแล้วว่า เด็กคนนี้เขาเป็นคนแบบนี้มาตลอด ซึ่งความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นทั้งหมดไม่ เราจึงจำต้องปรับปรุงภาพจำ รวมไปถึงความหลังที่เราจารึกไว้ในจิตใจของเราเองว่า ทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าคน ๆ นั้นตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงมัน.
เวลาไม่เคยช่วยทำให้ภาพจำเปลี่ยน
สิ่งที่น่าแปลกใจมากที่สุด เมื่อตอนที่เราเติบโตกันมากยิ่งขึ้น เราจะพบว่าเพื่อนสมัยเด็ก หรือสมัยทำงาน ก็ยังคงมองเราด้วยสายตาคู่เดิม ซึ่งไม่มีวันเปลี่ยน แม้ว่าบริบทของครอบครัว ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง รวมไปถึงญาติคนอื่น ๆ ก็ตามแต่ ก็มักจะมองคน ๆ นั้นด้วยสายตาเหมือนเดิม ดังเช่นอดีตที่เราเคยรับรู้ว่าเขาเป็นคนแบบนั้น แล้วความรู้สึกเจ็บปวดนี้ก็ได้ส่งต่อมายังปัจจุบันของทุกคน ที่เคยมีอดีตที่ขมขื่น เราเคยเป็นคนที่ไม่ดี พูดจาทำร้ายจิตใจคนอื่นบ้าง หรือว่าเราเป็นคนเห็นแก่ตัว เพราะหลงผิดคิดเอาว่าการที่เราเรียกร้องและแย่งชิงเพื่อให้ได้มา จะนำมาซึ่งการได้มาของทุกสรรพสิ่งรอบตัวเรา พอเราเติบโตขึ้นมามันกลับหาเป็นเช่นนั้นไม่.
ถ้าเราเพิกเฉยต่อเหตุการณ์ในอดีต ไม่สนใจว่าคนจะมองเราอย่างไร แล้วหลงผิดหนักขั้นเข้าไปถึงปักใจเชื่อว่า ต่อให้ตัวเราเองดีแค่ไหน สุดท้ายคนอื่นก็มองเราอย่างนี้อยู่ดี สิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อชีวิตมวลรวมที่ย่ำแย่ลงไปหนักกว่าเดิม ไม่ใช่เพียงแค่สภาพแวดล้อมที่ตัดสินเรา แต่ตัวเราเองนั้นทำให้ตัวเรานั้นก็ยังคงเดิมถาวรไม่ยอมเปลี่ยนแปลงไป หรือมองไปอีกนัยหนึ่งนั่นคือ เราทำให้ตัวเราเองเป็นเหมือนที่คนอื่นนั้นตัดสินเรามาตลอดเวลา ทว่า ถ้าหากเราอยากจะเปลี่ยนแปลงอดีต เราก็ต้องทำปัจจุบันนี้ให้ดีขึ้นกว่าเดิมมิใช่หรือ แล้วการเปลี่ยนแปลงมันก็จะเริ่มต้นขึ้น นับตั้งแต่วันที่เราได้ตั้งใจมั่นว่า คนอื่นจะมองชีวิตเราเป็นอย่างไรไม่สำคัญ แต่การที่ตัวเรามองมายังชีวิตตัวเองนั้นสำคัญกว่าเสมอ.
ใส่ใจที่เหตุไม่ต้องใส่ใจที่ผลลัพธ์
ทุกอย่างเกิดแต่เหตุ และดับไปซึ่งเหตุนั้น ประโยคนี้เราจะนำมาใช้เพื่อเป็นจุดยืนของชีวิต เพราะท่าทีของคนส่วนใหญ่นั้น มักจะมองไปว่า เราจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่อการยอมรับของผู้คนรอบข้าง โดยที่เรากลับไม่สนใจสิ่งที่ล้ำค่ากว่านั้น นั่นก็คือเหตุที่เรากระทำลงไป ลองปรับเปลี่ยนการใส่ใจจากผลลัพธ์ไม่ว่าจะเป็น คนอื่นตัดสินเรา การยอมรับ รวมไปถึงคำชื่นชมที่กระหน่ำมายังที่ตัวเรา แต่ให้ลองเปลี่ยนเป็น ตั้งใจทำชีวิตให้ดีขึ้น เสาะแสวงหาว่าอะไรจะเป็นตัวนำมาซึ่งชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง ลองคิดที่จะเริ่มต้นเรียนรู้อะไรที่เราไม่เคยเรียนรู้มาก่อน ลองไปยังโลกใหม่ ๆ ดูบ้าง รวมไปถึงเข้าไปยังโลกที่เรารู้สึกมีความท้าทายอย่างยิ่ง เพราะสิ่งนั้นจะทำให้เรามีชีวิตสมอย่างที่ชีวิตนั้นควรจะเป็นไป.
ผลลัพธ์จึงเป็นผลพลอยได้ของสิ่งที่เรากระทำลงไปทั้งหมด แม้ว่าเราจะรับรู้ถึงผลลัพธ์ต่างกัน แต่เราย่อมเข้าใจซึ่งเหตุคล้าย ๆ กันไปในทุกคน ก็อย่างเช่นถ้าเราอยากมีเพื่อนรายล้อม เราก็จงเป็นคนแรกที่เข้าไปหาเพื่อนก่อนเสมอ และถ้าเราอยากได้รับการยอมรับจากผู้คนรอบข้าง เราก็ต้องยอมรับผู้คนรอบข้างก่อนเป็นอันดับแรก นี่จึงเป็นที่มาของคำว่า ทำสิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้น ภาพจำหรือความหลัง มันเป็นเพียงสิ่ง ๆ หนึ่งที่คอยตัดสินตัวเราเอง ผู้คนมากมายจดจำสิ่งที่คนอื่นทำ มากกว่าตัวเขากระทำลงไป เพราะเรามีสายตาที่ส่งออกนอก ไม่ได้เป็นตัวส่งเข้าข้างในเพื่อรู้จักตนเองอยู่แล้ว การปรับเปลี่ยนนี้จะทำให้ชีวิตมีความสมมาตรมากยิ่งขึ้น.
ความหลังจึงไม่สำคัญเท่ากับความรู้
การแปรเปลี่ยนของพลังงาน และสสารในธรรมชาติ มาบ่งบอกให้เรารับรู้ว่า ต่อให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ก็ไม่สำคัญเท่ากับเรารู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ไหม ถ้าเราเห็นแต่คนอื่นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เราไม่เคยเห็นตัวเองเป็นอย่างนี้อย่างนั้น ชีวิตเราจะถูกปรับปรุงได้อย่างไรกัน การมองไปว่าชีวิตของเรานั้นดีอยู่แล้ว รวมไปถึงศาสตร์ของการใช้ชีวิตให้สุขสมบูรณ์ คือการที่ให้ผู้คนนั้นยอมรับโดยส่วนเดียว นั่นจึงมิใช่คำตอบที่ถูกเติมเต็มเลย แต่เป็นคำตอบที่ต้องตั้งคำถามต่อไปอีกขั้นหนึ่งว่า แล้วถ้าเรามีคนยอมรับมากมาย มันจะนำมาซึ่งความสุขในชีวิตจริง ๆ รึเปล่าอีกทอดหนึ่งด้วย ไม่ว่าเราจะตั้งคำถามสักกี่คำถาม ทุกคำถามนั้นก็จะมีเป้าประสงค์ไปในจุดที่เรียกว่า ความพึงพอใจของชีวิตกันอยู่ดี.
แล้วความพึงพอใจนี้ จึงมิใช่คำตอบตายตัวเหมือนสมการที่เราต้องมานั่งหาคำตอบว่ามันคือสิ่งใด แต่มันคือการโฟกัสให้ถูกหลักมากที่สุด ใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด นั่นก็คือความเป็นจริง ความหลังจึงไม่สำคัญเท่ากับความรู้ เพราะความรู้เป็นสิ่งที่ทำให้เรามานั่งตกตะกอนกันไปว่า ตัวเราเองนั้นก็ยังคงมีสิ่งที่ต้องปรับปรุงแก้ไขไม่แพ้กัน เนื่องด้วยคนในสังคมก็คือค่าเฉลี่ยของการกระทำมวลรวมที่เราให้ค่ากันว่า สิ่งนี้ยอมรับได้หรือสิ่งนี้ยอมรับไม่ได้ มันจึงไม่ได้อยู่ในขั้นของจริยธรรม หรือศีลธรรมด้วยซ้ำไป การมองอย่างละเอียดลออจะทำให้ทุกคนค้นพบว่า สิ่งที่อยู่ภายใต้นั่นคือการรอคอยภาพจำใหม่ ๆ ที่เราต้องทำการอัปเดตกันทุกวัน รวมไปถึงทุกครั้งที่เราพบเจอคนเดิม ๆ ต่อเนื่องไม่รู้จบ.