#58 ความหนักแน่น

ความหนักแน่น

เมื่อทุกสิ่งมาย้ำเตือนว่าให้เราทุกคน รวมไปถึงสรรพสิ่งมากมายจงมีความหนักแน่นและมั่นคง ถ้าเรามั่นใจกับสิ่งที่เรากระทำไปแล้ว เราจะสามารถรับรู้ได้ว่า สิ่งที่เราทำไปมันก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของวิถีธรรมชาติ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นมันก็จะดำเนินไปตามสิ่งที่ควรจะเป็นอยู่ร่ำไป เราจึงไม่จำเป็นจะต้องวิตกกังวลไปกับอนาคต ก็เพียงเพราะอนาคตนั้นอยู่ที่วันนี้แล้ว มันเหมือนเป็นคำตอบของสิ่งที่เรากำลังสงสัยเรื่องของห้วงเวลา ความหนักแน่นนั้นจึงเป็นตัวตอบโจทย์ทั้งหมด.

ความหนักแน่นเป็นเสมือนจุดยืน

หากเราไม่มีจุดยืนในชีวิตเลย เราก็จะไม่สามารถมีความสุขในชีวิตได้เลย ก็เพียงเพราะเราไม่สามารถยืนหยัดต่อสู้กับอุปสรรคในชีวิตได้ สิ่งที่เราจะต้องสร้างอย่างแรกเลยก็คือเป้าหมาย ว่าเราต้องการจะไปยังทิศทางใด แล้วค่อยกำหนดว่าความหนักแน่นนั้นจะมีประโยชน์ในแง่มุมใดได้บ้าง แล้วหลังจากนั้นเราก็ค่อย ๆ เดินทางตามสิ่งที่เราหมุดหมาย แน่นอนว่าบางทีชีวิตมันไม่ได้ง่ายขนาดที่เราจะจับวางอะไรได้เลยทีเดียว ดังนั้นชีวิตจึงต้องดำเนินต่อไปท่ามกลางความวุ่นวายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันจึงเป็นการทดสอบจุดยืนที่เรายืน ถ้าจุดยืนเรานั้นอ่อนไหวง่าย มันก็ย่อมถูกซัดส่ายไปได้ง่ายตามความหนักแน่น มันก็เลยมีความหมายต่อการดำรงอยู่.

ปัญหาที่ยากที่สุดก็คงไม่ใช่สิ่งภายนอก แต่กลับกลายเป็นสิ่งภายใน ก็ในเมื่อชีวิตกำลังส่งสัญญาณให้เรารับรู้บางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความสับสน ความย้อนแย้ง และปัญหาที่เราไม่คาดฝัน กระนั้นเราจึงต้องมอบโอกาสให้กับตัวเองได้หยัดยืนว่า เรามีจุดยืนในแง่มุมใดกันแน่ เพราะถ้าจุดยืนที่เรายืนไม่มีทิศทางที่ดีจริง ๆ มันก็จะส่งผลทำให้อนาคต และชีวิตมวลรวมถูกทดสอบอย่างหนักหน่วงตามมา เหมือนว่ายิ่งมีความหนักแน่นมั่นคงมากเท่าไร มันก็ยิ่งทำให้เราต้องถูกทดสอบมากขึ้นเท่านั้น การสอบทานในครั้งนี้ก็คงจะเป็นสิ่งที่จะชี้วัดว่า ตัวเราเองนั้นสามารถก้าวข้ามผ่านสิ่งที่เราเชื่อมั่น หรือว่าศรัทธากันจริง ๆ รึเปล่า.

ศรัทธาในจิตวิญญาณ

จิตวิญญาณที่ซับซ้อน ก็จะนำมาซึ่งเหตุผลในชีวิตที่สับสน การใช้ชีวิตให้ดีนั้นจึงเป็นคำถามที่ชวนงุนงง ยิ่งเราไม่เข้าใจชีวิต ชีวิตนั้นก็จะเหวี่ยงให้เราไม่เข้าใจมันมากยิ่งขึ้น แต่กระนั้นธรรมชาติก็ย่อมอยู่ข้างเดียวกับเราอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นในแง่มุมใดก็ตาม เราก็ย่อมเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติอยู่แล้วโดยปกติ แล้วยิ่งเรามีศรัทธาอันแรงกล้าในจิตวิญญาณ เราก็จะยิ่งหลอมรวมกับสรรพสิ่งเป็นเนื้อเดียวกัน ขาดออกจากสิ่ง ๆ นั้นได้ยากอย่างยิ่ง หน้าที่ของมนุษย์ทุกคนก็ย่อมมีความคล้ายคลึงกันโดยนัย แต่แตกต่างกันโดยสิ่งที่เรามองเห็น เพียงแค่ลองมองไปยังความหมายของการมีชีวิตอยู่ของสิ่งมีชีวิต เราก็จะเข้าใจว่าทุกคนมีเหตุผลเดียวกันมาเสมอ.

ความเชื่อนั้นก็เปรียบเสมือนแรงผลักดันให้ชีวิตเราก้าวหน้าต่อไปได้ คนที่ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ไม่สามารถทำสิ่ง ๆ หนึ่งอย่างตั้งใจจริงได้ มนุษย์นั้นคือธรรมชาติ และธรรมชาตินั้นก็คือมนุษย์ พลังภายในของตัวเราเองจะปรากฏเด่นชัดมากยิ่งขึ้นก็ต่อเมื่อเราเข้าใจสิ่งที่มันเป็นไปจริง ๆ มิใช่เป็นสิ่งที่เราอยากให้มันเป็น ภารกิจของธรรมชาติก็คือการมีชีวิตอยู่เพื่อสร้างคุณค่า แล้วถ้าใครไม่สามารถสร้างคุณค่าได้ เขาเหล่านั้นก็จะเหี่ยวเฉาเหมือนต้นไม้ที่ไม่ได้รับน้ำจากที่ใดเลย วันนี้จึงเป็นวันที่เราทุกคนต้องตั้งคำถามใหม่แล้วว่า เราสามารถเชื่อมั่นสิ่งที่ควรเชื่อได้หรือไม่ หากไม่สามารถทำได้ แล้ววิธีการใดที่สามารถนำพาเราไปได้บ้าง.

คุณค่าที่สามารถสร้างได้

เราจะมีจุดยืนกันไปทำไม และเราจะเชื่อมั่นกันไปเพื่อสิ่งใด หากเรานั้นไม่สามารถสร้างและมอบคุณค่าที่เรามี หรือเราเป็น ให้กับผู้คน หรือสิ่งภายนอกได้เลย ชีวิตเป็นคำถามที่ไม่มีวันจบสิ้น และทุก ๆ คำตอบก็ย่อมรอเราอยู่ที่ปลายทางกันทั้งหมด ทว่า ชีวิตเราเปรียบเสมือนกระแสน้ำที่พัดพาเราไป ยังจุดหมายที่เรามิอาจเข้าใจได้ทั้งหมด แต่แน่นอนว่ามันก็ย่อมให้คำตอบกับเราว่า เหตุผลใดที่เราถึงไปยังที่นั่น คำตอบก็คือสิ่งเดียวกับชีวิตที่เราตั้งคำถามและหมุดหมายไป ผลลัพธ์ก็เนื่องด้วยสิ่งที่เราเชื่อมั่นมาตลอดว่า เราเชื่อมั่นในอะไรหรือสิ่งใด ยิ่งเราศรัทธาในความเป็นจริง ความจริงก็ย่อมอยู่ข้างเราไม่ไปไหน มันจะเป็นสิ่งที่คอยสนับสนุนเราเสมอมา.

แล้วการจะสร้างคุณค่าได้นั้น เราก็จะต้องมีคุณสมบัติที่เพียงพอต่อการสร้างคุณค่าได้เท่านั้น มันจะไม่ใช่ใครก็ได้ที่สามารถสร้างคุณค่า แต่มันจะต้องเป็นคนที่เหนือกว่าบุคคลธรรมดาอย่างแท้จริง มิใช่เป็นเพียงแค่สายใยของอัตตาตัวตน แต่มันจำเป็นจะต้องเล็งเห็นถึงโอกาสที่ควรได้รับ สิ่งที่เราไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเนื้อ แต่เราอาจจะจำเป็นจะต้องใช้ตาใน เพื่อมองไปที่จิตใจเดิมแท้ว่า เรานั้นมาจากที่ใด และพบเจอสิ่งที่เราตามหากันมาทั้งชีวิตหรือไม่ คุณค่าจะเริ่มและจบอยู่ตรงที่จุดเดียวกัน นั่นก็คือตัวของเราเอง การทำตัวเองให้มีคุณค่าจึงเป็นโจทย์ใหญ่ของทุกคน รวมไปถึงการเป็นที่ยอมรับก็จะเป็นผลพลอยได้ตามมา.

ปรัชญาที่ควรพึงมี

ปรัชญาชีวิตก็จะน้อมนำความเป็นจริงมาให้เราพิจารณากันอยู่ตลอดเวลา มันไม่ใช่เป็นส่วนที่เราควรเพิกเฉย แต่มันเป็นส่วนที่เราควรสร้างให้มีในตนเอง หากเพียงการมีปรัชญาในการดำเนินชีวิต ก็จะทำให้บุคคลนั้น ๆ มีความหนักแน่นมั่นคงอย่างสิ่งที่เขานั้นควรจะเป็นไป ความสามารถทั้งหมดที่มนุษย์นั้นสามารถพัฒนาได้ก็จะเพียงพอต่อการพัฒนา หากเราไม่มีทรัพยากรที่ครบครัน ทักษะต่าง ๆ รวมไปถึงสิ่งที่ขาดหายไปก็ย่อมถูกเติมเต็มในท้ายที่สุดอยู่ดี ชีวิตจึงมิใช่เป็นของง่าย ถ้าหากเราต้องการจะอยู่เหนือกว่าคนอื่น มันจึงไม่ใช่เป็นการเหนือด้วยอารมณ์หรือกิเลส แต่เป็นการเหนือด้วยความดีและคุณธรรม.

หนึ่งในปรัชญาที่เราควรจะมีก็คือ คุณธรรมที่เป็นปึกแผ่น ความศรัทธาในความดีอย่างแรงกล้า ไม่ว่าจะเจอมรสุมเข้ามาทำลายชีวิตมากสักแค่ไหน แต่ปรัชญานี้ก็จะไม่เสื่อมคลาย ถ้าหากมองกันอย่างผิวเผินก็จะมองไปว่าคน ๆ นี้ก็คงไม่ต่างจากคนหัวแข็ง หัวรั้น ที่ไม่ยอมรับโชคชะตาที่เปลี่ยนแปลง แต่ถ้ามองอีกมุมของความหนักแน่นก็จะกลายเป็นว่า เขาคนนั้นจะสามารถผ่านพ้นอุปสรรคไปได้นานาประการ แล้วชัยชนะที่หาได้ยากก็คือการชนะใจตนเอง มันจึงมิใช่เป็นการเอาชนะแค่สิ่งภายนอก แต่เป็นการเอาชนะทุกทิศที่เป็นอุปสรรค รวมไปถึงปัญหาที่เราได้พานพบกันทุกเมื่อเชื่อวันด้วย คำถามที่ดีคือ แล้วปรัชญาใดที่จำเป็นสำหรับชีวิต.