#71 ความอุดมสมบูรณ์

ความอุดมสมบูรณ์

การผ่านช่วงเวลาของความว่างเปล่าไปแล้ว ก็มักจะเป็นช่วงเวลาของการเติมเต็มหรือความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งในระยะนี้ก็เป็นสิ่งที่ท้าทายกับชีวิตพอสมควร ก็เพียงเพราะเราไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่า สิ่งที่เรามีอยู่ในตัวเอง เช่น ทรัพยากร ความรู้ สติปัญญา หรือสิ่งอื่น ๆ มันเพียงพอไหมต่อการสร้างชีวิตให้งดงามมากยิ่งขึ้น เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ตัวตนของเราอีกทีหนึ่งว่า เรานั้นเป็นคนอย่างไรกันแน่.

เริ่มสร้างสิ่งที่ควรสร้าง

ชีวิตมักจะมาย้ำเตือนเราว่า ให้เราเร่งหาความสุข และทอดทิ้งความทุกข์กันไปโดยไม่สนใจไยดี แต่ในความเป็นจริงความสุขมักจะทำให้เราพร่องหรือขาด แต่ความทุกข์กลับสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้กับชีวิตของเราเสียมากกว่า เมื่อความสุขเป็นตัวทำลาย แต่ความทุกข์เป็นตัวเสริมสร้าง เราควรจะปรับใจอย่างไรให้แก่ชีวิตของเราดี จุดเริ่มต้นมันคือเราต้องรู้จักจัดการความทุกข์ และปัญหาอย่างทันท่วงที อย่าปล่อยให้ปัญหามันลุกลามไปไกลเกินแก้ไข รวมไปถึงสังเกตตัวเองว่าถ้าเราไม่ยอมรับความทุกข์ แล้วเราจะสามารถสร้างชีวิตที่ดีแก่ตัวเราเองได้อย่างไรกัน เหมือนว่าเราก็เอาแต่ทับถมกันด้วยความคิดที่ไม่ดี และการมองโลกในแง่ร้ายตามไป.

ใจที่พร่องย่อมไม่สามารถเติมเต็มอะไรได้จริง จงปิดรอยรั่ว รูรั่วในจิตใจให้เร็วที่สุด ก็เพียงเพราะจุดบอดเพียงแค่เล็กน้อยก็สามารถขวางกั้นความสุขในชีวิต รวมไปถึงความมั่งคั่งของชีวิตไปเลยทั้งหมดเลยทีเดียว เรียนรู้ตั้งแต่วันนี้ว่าตัวเราเองเป็นคนแบบไหน ทัศนคติต่อชีวิตของเราเป็นรูปแบบใด เรามีความเชื่อมั่นกับอะไรบ้างไหม หรือเรามีเป้าหมายในชีวิตอย่างไรบ้าง เพื่อให้สิ่งนี้เป็นกระจกสะท้อนจิตใจของตัวเองว่า เราทำสิ่ง ๆ หนึ่งไปเพราะอะไร เบื้องหลังของความคิด และจิตใจนั้นมีความชัดเจนแค่ไหน มันไปพร้อมกับการกระทำที่เป็นเนื้อเดียวกันบ้างรึเปล่า มันจึงเป็นก้าวแรกของการสอบทานตัวเอง เพื่อสร้างสิ่งต่าง ๆ ให้กับชีวิตของตัวเอง.

อย่ากลัวที่จะสร้างอะไรดี ๆ ให้กับชีวิต

ไม่มีใครที่ไม่เคยกลัว และก็ไม่มีใครที่จะก้าวข้ามผ่านความกลัวโดยที่ไม่ต้องสูญเสียอะไรไป บางครั้งการเรียนรู้ของความไม่รู้ก็ย่อมมาย้ำเตือนว่า เราควรทำอะไรสักอย่างได้แล้วในวันนี้ คนที่รักเราจริง กับคนที่ไม่รักเราจริงเป็นแบบไหน แยกให้ออกแล้วเราจะกล้าที่จะตัดทิ้ง ลดทอน และเลือกสรรสิ่งที่ใช่มากยิ่งขึ้นตาม ขั้นตอนแรกของความอุดมสมบูรณ์ในชีวิตก็คือเชื่อมั่นว่า ชีวิตจะต้องดีขึ้นกว่านี้ แล้วขั้นต่อไปก็คือการปรับสูตรของการใช้ชีวิต ส่วนขั้นตอนสุดท้ายก็คือ ปรับวิถีชีวิตอย่างถอนรากถอนโคน เพื่อให้ระดับของชีวิตนั้นถูกยกระดับขึ้นไป แต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำได้อย่างสิ่งที่วางแผนไว้ทั้งหมด แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรให้มันดีขึ้นเลย.

ชีวิตของเรา เราก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมด ไม่มีใครมายกระดับชีวิตเราให้ดีขึ้นได้จริง ต่อให้เราจะเจอคนที่แสนดีสักเพียงใด สิ่งที่เราได้รับก็สมควรกับสิ่งที่เราควรได้รับทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่มีคำว่าได้น้อยไป หรือได้มากเกินในภาษาของชีวิต โชคชะตาไม่เคยกลั่นแกล้งเรา มีแต่เราที่มัวแต่จมอยู่กับความคิดในแง่ร้ายเท่านั้น ที่ทำให้เรามีชีวิตอย่างที่เป็นอยู่ มันจึงไม่มีใครทำร้ายเราได้จริง และไม่มีใครสามารถช่วยเราได้อย่างแท้จริง จงระลึกรู้ไว้อยู่เสมอว่า ชีวิตเป็นค่าเฉลี่ยมวลรวมของสิ่งที่เรากระทำลงไป ถ้าเรายอมหนึ่งครั้ง ครั้งต่อไปก็ต้องยอมต่อไปเรื่อย ๆ จนเราไม่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงเป็นอย่างไร สักพักชีวิตเราก็จะขาดการเชื่อมต่อกับความดีไป.

เปิดใจรับรู้ว่าทุกคนเท่ากัน

เมื่อเราเชื่อมั่นว่าทุกคนเท่ากัน นั่นก็แปลว่าคนดีก็ย่อมเป็นคนไม่ดีได้ และคนที่ไม่ดีก็ย่อมเป็นคนดีได้ การเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตนั้นยาก แต่คำว่ายากไม่ได้แปลว่าเป็นไปไม่ได้ มันจึงต้องตีความซ้อนการตีความอีกทีหนึ่ง เพื่อนำมาปรับใช้กับชีวิตและทำความเข้าใจว่า ชีวิตไม่มีอะไรที่คงทนถาวร บางเรื่องดูเหมือนยืดเยื้อยาวนาน แต่มันก็แฝงไปด้วยความไม่แน่นอนอยู่ภายในนั้น จงโต้คลื่นความไม่แน่นอนไปให้ไกลมากที่สุด แล้วมันก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เราจะต้องล้มลุกคลุกคลานระหว่างทาง แต่ถ้าเรายังมีใจที่สู้อยู่ เมื่อนั้นความสำเร็จ ความสุข และความอุดมสมบูรณ์ก็จะมาอยู่ข้างเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน.

ก็ลองดู เป็นคำที่สร้างกำลังใจให้กับผู้คนมากมาย รวมไปถึงคนที่กำลังสิ้นหวังกับทุกสิ่งทุกอย่าง มันจึงเป็นทั้งแรงบันดาลใจ การเสริมสร้างชีวิตให้งดงาม และตระหนักรู้ว่าคำว่าลองดูไม่ได้แปลว่ามันเป็นไปได้ แต่มันคือการที่เรากล้าเปิดใจ กับสิ่งที่เรายังไม่รู้จัก อย่างน้อยเราก็ได้ทำเต็มที่ในส่วนของเราไปแล้ว มันคือการรอดูอีกฝ่ายว่าเขาจะมีท่าทีอย่างไรตอบสนองกับสิ่งที่เราให้ไป จงเป็นคนที่มีพลังใจเต็มเปี่ยม เมื่อใดที่เสียใจก็จะมีพลังใจสำรองเอาไว้ช่วยเราในยามยาก ยิ่งเราฝึกฝนจิตใจ และฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรง ภูมิคุ้มกันของชีวิตก็จะมากขึ้นตามความสามารถที่เราเริ่มต้นลองทำ ถ้ามันดีก็ให้นำมาปรับใช้ แต่ถ้าอะไรที่มันไม่ดีก็ตัดมันทิ้งไปแค่นั้นเอง.

จนหรือรวยอยู่ที่ใจใช่เงินทอง

เหมือนกับคำว่าสุขหรือทุกข์อยู่ที่ใจ แล้วก็คิดต่อยอดไปว่าจนหรือรวยก็อยู่ที่ใจเช่นกัน ถ้าหากว่าปัญหาชีวิตไม่ได้อยู่ที่สิ่งภายนอกเลยแม้แต่น้อย แต่มันกลับกลายอยู่ที่ภายในทั้งหมด ทิศทางสำคัญกว่าความเร็วเสมอ และถึงแม้เราจะยากจนข้นแค้นแค่ไหน แต่ถ้าใจเรามีความอุดมสมบูรณ์ เราจะยังเป็นคนยากจนอยู่ได้อย่างไร เมื่อใจเป็นใหญ่เป็นประธานในการทำกิจหน้าที่ของมันเอง เราก็จึงไม่ได้กำหนดนิยามด้วยเงินในบัญชี หรือสินทรัพย์ใด ๆ ที่เราครอบครองในวันนี้ แต่เราต้องเข้าไปสู่แก่นของจิตใจ นั่นก็คือรากฐานของความอุดมสมบูรณ์ ให้เริ่มต้นที่ใจ และจบลงที่ใจเรานี่เอง ไม่ต้องไปเริ่มที่ใดเลย เพียงเพราะใจเราสำคัญที่สุด.

เมื่อเราทุกคนเท่ากันในเชิงปฏิบัติ เราก็จะเห็นพ้องต้องกัน งั้นแสดงว่าทุกคนก็สามารถที่จะขาดตกบกพร่อง และประสบความสำเร็จได้เช่นกัน แม้ว่าทรัพยากรของเราจะแตกต่างกัน แต่ถ้าเราเชื่อมั่นว่าเราสามารถรับมือกับปัญหาที่เผชิญได้ ต่อกรกับปัญหาที่เข้ามาได้ แล้วจะมีอะไรขวางกั้นเราได้อีก ก็คงจะไม่มีอะไรมาขัดขวางเราได้อีกต่อไป กระนั้น ชีวิตก็จะเป็นไปตามสิ่งที่ควรจะเป็น ใช้ชีวิตที่ตั้งไว้ดีแล้วและล้อไปกับสรรพสิ่งอย่างนั้นไปเรื่อย ๆ ไม่ให้มันหยุดชะงักไปกลางทางก็พอ ถ้าเรารู้หลักของการใช้ชีวิตแล้ว มันก็จะง่ายดายมากยิ่งขึ้น ลดความซับซ้อน ลดความกลัว และลดการปิดกั้นออกจากชีวิต เมื่อนั้นเราจะพบเจอความอุดมสมบูรณ์ของชีวิตอย่างหาที่สุดมิได้สืบไป.