จุดเริ่มต้นของความคิดก็ต้องมาจาก การตั้งคำถามของชีวิตว่า สิ่งที่เราทำอยู่นี้เป็นอย่างไรต่อไป หากว่าโลกนี้มีความคิดที่สร้างสรรค์ ก็ย่อมเสกสรรให้ทุกสิ่งเป็นไปในทางที่ดีได้ แต่กระนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะให้ทุกคนมีความคิดสร้างสรรค์เหมือน ๆ กัน มันจึงเป็นโจทย์ที่ท้าทายสำหรับยุคสมัยมากเลยว่า เราจะทำอย่างไรให้เด็ก และวัยรุ่นสามารถตระหนักรู้ถึงสิ่งที่มีคุณค่า รวมไปถึงการเข้าถึงประโยชน์สุขของผู้คน มันเป็นทั้งการเริ่มต้น และเป็นทั้งจุดจบ แต่เราทุกคนก็ย่อมต้องเดินผ่านจุดนี้กันอยู่ร่ำไป.
จุดเริ่มต้นคือตัวเราเอง
วันหนึ่งเราอาจจะพบเรื่องราวมากมายที่เข้ามาทดสอบความคิดและจิตใจ โดยที่เราหารู้ไม่ว่าสิ่ง ๆ นั้นอาจจะคอยบงการความคิดของเราอยู่ และก็อาจจะเป็นตัวต่อยอดชีวิตให้รุดหน้าไปได้ไกลก็ย่อมได้ ปัญหาในวันนี้คือเราจะทำอย่างไรที่ให้ชีวิตที่เราใช้มา เป็นไปอย่างสิ่งที่เราหมุดหมาย มันก็จึงเป็นคำถามที่เราต้องเริ่มคิดแล้วว่า ชีวิตที่เราทำอย่างทุกวันนี้ เราได้ทำอย่างสิ่งที่เป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนชีวิตให้ไปข้างหน้าจริง ๆ หรือเปล่า แต่ก็แน่นอนว่าชีวิตที่เป็นอยู่ อาจจะไม่ได้เป็นคำตอบทั้งหมด ยังไงแล้วมันก็จึงเป็นเหตุผลที่เราต้องหาคำตอบให้เจอว่า อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้กระบวนการสร้างชีวิตนี้ดีขึ้นได้จริง.
พอเราเริ่มได้คำถามแล้ว เราก็จะมุ่งหน้าไปสู่การแสวงหาคำตอบ วิถีทางของการแสวงหาคำตอบนั้นก็จะแตกต่างกันไป ในแต่ละปัจเจกชน บ้างก็ชอบไปตามหาจากสิ่งภายนอก บ้างก็ชอบไปตามหาจากสิ่งภายใน มนุษย์นั้นก็จะคลุกเคล้าสิ่งต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสุขหรือทุกข์ ที่เป็นตัวกำหนดว่าคำตอบนี้ของเราจะหน้าตาแบบไหน โดยที่ระหว่างทางเราอาจจะพบเจอตัวเอง ไปพร้อมกับได้คำตอบของชีวิตก็ได้ สิ่งที่อธิบายมาทั้งหมดก็จึงสรุปรวมไปด้วย ความสร้างสรรค์ของชีวิตก็คือการเสริมสร้างชีวิตให้เป็นไปในทางที่ดี ประกอบไปด้วยกาย วาจา และใจที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรม ถึงแม้มีสิ่งที่ไม่ดีจรเข้ามาก็ตั้งรับและน้อมรับแต่โดยดี.
ความคิดเป็นบ่อเกิดของคำพูดและการกระทำ
ถ้าความคิดเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสรรพสิ่ง เราก็จะได้เข้าใจสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากว่า การไม่ระมัดระวังความคิดเลย ก็ย่อมเป็นบ่อเกิดของปัญหานานาประการ ไม่ว่าจะเป็น ความคิดในแง่ลบ ความสิ้นหวัง ความหมดอาลัยตายอยาก และความคิดที่จะดึงรั้งเราไม่ให้เรารุดหน้าไปได้อย่างสิ่งที่ควรจะเป็น มันก็เลยเป็นจุดที่เราต้องทบทวนบ่อย ๆ ว่า ความคิดในแต่ละวันของเรานั้นเกิดจากอะไร มีมูลเหตุมาจากสิ่งใดบ้าง ถ้ามันมีต้นกำเนิดจากความดี ผลลัพธ์ก็มีแนวโน้มสูงที่จะดีมากกว่าไม่ดี ส่วนอีกมุมนึงก็ย่อมกลับกันเป็นธรรมดา แล้วการที่เราตระหนักรู้ถึงสิ่งเหล่านี้ มันก็ย่อมทำให้เรามองอะไรชัดเจนมากขึ้น ตัดสินใจได้เฉียบคมเหมือนวิชาหนึ่งของชีวิต.
ปรับวิถีของความคิดให้ถูกหลัก แล้วคำพูดกับการกระทำก็จะดำเนินต่อไปอย่างไหลลื่น เหมือนว่าสภาวะของการเรียนรู้ก็ยังจำเป็นจะต้องประกอบไปด้วยการอยู่ในห้วงเวลาใดเวลาหนึ่ง มันคือจุดที่เราจะเข้าไปยังโลกอีกโลกหนึ่ง โดยที่มันอยู่ที่เราว่าเราจะสร้างให้โลกนี้เป็นอย่างไร บางคนก็มีโลกมากมายแต่ไม่มีอะไรในโลกนั้นเท่าไหร่ ทว่า บางคนอาจจะมีเพียงไม่กี่โลกแต่เขานั้นสร้างโลกให้วิจิตรงดงามอย่างสิ่งที่ควรจะเป็น โลกความเป็นจริง โลกจินตนาการ หรือโลกแห่งความรู้ ทุกโลกล้วนเชื่อมโยงเป็นเนื้อเดียวกัน เราจึงจะเข้าใจว่าเราจงสร้างสิ่งที่สมควรสร้างจะดีที่สุด ไม่จำเป็นจะต้องไปแสวงหาสิ่งที่ไม่สมควร เพราะมันจะทำให้ชีวิตนั้นเนิ่นช้ากันไปไกล.
ฝึกฝนที่จะเข้าสู่สภาวะไหลลื่น
ห้วงเวลาที่จะก่อเกิดความคิดสร้างสรรค์ได้มากที่สุด ก็คือสภาวะไหลลื่น สภาวะนี้ถ้าอธิบายตามความคิดก็น่าจะเป็น การเข้าไปสู่โลกที่เราสร้างมันมาอย่างยาวนาน มันคือวิชาที่เราฝึกฝนอย่างช่ำชอง เราสามารถมีสติ พร้อมไปกับสมาธิจดจ่ออยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งได้ โดยที่เราไม่มีข้ออ้างใดเลย เช่น ไม่พร้อม ขี้เกียจ ไม่อยากหรือว่ามีเหตุผลมากมายที่จะบอกว่า มันไม่มีอารมณ์ที่จะเข้าไปสู่สภาวะไหลลื่น หากเพียงเพราะเราอาจจะไม่เคยคิดจะสร้างสภาวะนี้อยู่แล้ว แถมเราเลยไม่สนใจ เพิกเฉย มองมันไปว่าทำไมเราต้องมีสภาวะที่หลากหลายด้วย ที่มันเป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้มันมากมายให้มันวุ่นวายเกินความจำเป็น.
สิ่งใดที่เราทำซ้ำบ่อย ๆ ทุกวัน สิ่งนั้นจะกลายมาเป็นนิสัย แล้วนิสัยนี่เองจะกลายมาเป็นอัตลักษณ์ของเราสืบไป จุดเริ่มต้นเพียงแค่เล็กน้อยคือ คิดว่าจะทำ แล้วลงมือทำสิ่งที่เราคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วว่า มันย่อมส่งผลกระทบต่อชีวิตในแง่มุมที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน ทรัพยากรของชีวิตที่เรียกว่าเวลา ก็ย่อมมาบ่งชี้ว่าเราใช้เวลาไปกับสิ่งใด เราเล็งเห็นประโยชน์ของเวลามากน้อยแค่ไหน ถ้าวันหนึ่งเราปล่อยเวลาไปกับสิ่งที่ไม่สร้างสรรค์ ชีวิตนั้นก็ย่อมไม่สร้างสรรค์ตามกันไป วันนี้จึงเป็นวิถีทางที่เราต้องตัดสินใจกันแล้วว่า เราอยู่บนโลกของความเป็นจริงที่เราสร้างมันมากับมือ แล้วตัวช่วยของเราก็คือโลกที่เราอยากให้มันเป็นไปนั้น มันถูกปรับสมดุลให้เข้ากันได้หรือยัง.
เวลาเป็นแม่บทของความสร้างสรรค์
ผลงานที่ดีที่สุด ย่อมมาในวันที่เราพร้อมที่สุด แล้ววันที่พร้อมก็มักจะเป็นวันที่เราไม่ได้ตั้งใจว่าให้มันพร้อม เหมือนโชคชะตามักคอยกลั่นแกล้งเรา เวลาเราอยากให้มันเกิดขึ้นมันกลับไม่เกิด ส่วนเวลาที่เราไม่อยากให้มันเกิดขึ้นมันกลับเกิดขึ้น แน่นอนว่าเวลาเป็นสิ่งเดียวของส่วนประกอบทั้งหมด ที่เรียกได้ว่าเราไม่สามารถไปควบคุมเวลาได้ นอกเสียจากเราเข้าใจแล้วว่าชีวิตนี้คืออะไร มันจึงเป็นการเรียนรู้ว่า โลกใบนี้ย่อมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปอยู่อย่างนี้ไม่รู้จักจบจักสิ้น ความคิดหนึ่งเกิดขึ้น ดำรงอยู่แค่ช่วงเวลาหนึ่ง แล้วก็ย่อมจากไปเป็นเรื่องธรรมดา แต่เราใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อดึงช่วงเวลาดังกล่าวออกมาใช้ให้มากที่สุดเท่านั้นเอง.
หลักการของชีวิตอาจจะเป็นเรื่องของ เราจงมีสติรู้ตัวว่าตอนนี้คือห้วงเวลาไหน ไม่มีห้วงเวลาใดคงทนถาวร คนที่เชี่ยวชาญในการมีความคิดสร้างสรรค์ส่วนใหญ่เขาก็มักจะให้เวลากับตัวเอง ไปกับสิ่งที่เขาถนัดและมีความเคยชินในการทำสิ่ง ๆ หนึ่ง ไม่ใช่ว่าจู่ ๆ เราจะอยากมีทักษะหนึ่งโดยที่เราก็ไม่ได้ใส่ใจมัน ไม่มีความหลงใหลในสิ่งนั้น ๆ เลย มันจึงเป็นไปไม่ได้ในความเป็นจริงที่ว่า เราจะทำสิ่งนั้นออกมาได้เต็มที่ เวลาที่เราคิด พูด หรือกระทำ เราจะต้องเชื่อมั่นในสิ่ง ๆ นั้นก่อน หากเราไม่มีการครุ่นคิดถึงมันเลย มันก็จะยิ่งไม่สามารถเป็นไปได้ดีเยี่ยม หรือความคิดที่ตกตะกอนต่อความสร้างสรรค์นั้นก็ย่อมเกิดขึ้นได้ยาก เวลาของชีวิตเป็นตัวกำหนดผลงานของชีวิต มันอยู่ที่เราฝึกฝน ทำซ้ำ และเชื่อมั่น.