หากว่าความอ่อนโยนนี้รวมไปถึงการใจอ่อนด้วย ความแตกต่างมันจึงเกิดขึ้น เราจึงต้องกำหนดนิยามให้ชัดแต่ละคำก่อนว่า ลำดับขั้นของความอ่อนโยนน่าจะเป็น ใจอ่อน อ่อนโยน แล้วก็จึงเป็นยอมคนสืบไป สมดุลคือคำตอบว่าเราควรจะเป็นคนอ่อนโยนคือระหว่าง ใจอ่อนและยอมคน อย่าเป็นคนที่ใจอ่อนเกินไป และยอมคนเกินพอดี ไม่เช่นนั้นปัญหามันก็จะยิ่งบานปลายต่อไปอีก ลองฝึกฝนที่จะปรับใจให้อ่อนให้เป็น และก็ต้องยืนหยัดให้เป็นเช่นกัน.
ความใจอ่อนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
ไม่มีอะไรที่จะผูกติดให้กับมนุษย์ได้เท่ากับการใจอ่อน จริง ๆ แล้วการเริ่มต้นของความคิดมนุษย์ก็คือ เป็นคนที่เชื่ออะไรง่าย ๆ แต่พอมันมีวัฒนธรรมต่าง ๆ ก็เลยเรียนรู้ได้ว่า เราจะต้องหัดมองอะไรให้ชัดเจนยิ่งขึ้น แล้วก็การปรับทัศนคติในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ซึ่งมันก็จะเป็นตัวช่วยให้ชีวิตและจิตใจเป็นไปทิศทางที่ควรจะเป็นด้วย ไม่จำเป็นจะต้องตีกลับด้วยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง แต่สุดท้ายเราก็ย่อมจำเป็นจะต้องน้อมรับบางสิ่งอยู่ดี ใจอ่อนเป็นเรื่องที่ดีแต่ถ้ามันอ่อนมากเกินไป มันก็จะส่งผลต่อชีวิตในระยะยาวได้อย่างแน่นอน ปัญหาใหญ่ที่สุดอาจจะยังไม่ปรากฏเห็นเด่นชัดมากยิ่งขึ้น เราจึงต้องสอบทานตัวเองอยู่เนือง ๆ ว่าวันนี้เราใจอ่อนมากน้อยเพียงใด.
ปัญหาของสังคมในวันนี้น่าจะเป็นทรงที่เราเดาออกว่า คนส่วนมากขาดที่พึ่งทางใจมันก็เลยกลายเป็นว่า เชื่ออะไรแบบขาดการยั้งคิด ปัญหาทั้งหมดจึงรวมไปอยู่ที่ตัวเราเอง สุดท้ายก็คือที่ตัวเราเองย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า ใจเราต้องการสิ่งใดบนโลกใบนี้ เราขาดสิ่งใดบ้าง แล้วที่พึ่งทางใจสำคัญสำหรับชีวิตเรามากน้อยแค่ไหน ถ้าวันหนึ่งเราเรียนรู้ว่าใจเป็นเรื่องที่ปรับแต่งได้ มันก็จะทำให้เรารู้สึกดีขึ้น อะไรที่มากไปก็ลดลง และอะไรที่น้อยไปก็เพิ่มขึ้น แล้วมันก็จะทำให้ปัญหาทุเลาลงอย่างแน่นอน จงเชื่อมั่นในตัวเองว่าเราสามารถทำได้ ไม่มีอะไรที่มนุษย์นั้นจะทำไม่ได้ เพียงแค่ใจเราเชื่อมั่นทุกสรรพสิ่งก็สามารถมากองอยู่ตรงหน้าได้แล้ว.
ใจเป็นเรื่องที่แก้ไขปรับปรุงได้
ความเชื่อจึงเป็นสิ่งสำคัญ หากว่าเราเชื่อมั่นว่าทุกสิ่งเป็นไปได้ ใจเราก็ย่อมเป็นส่วนหนึ่งของส่วนประกอบนั้นอยู่ดี ชีวิตมันอาจจะไม่มีค่านิยามที่ตายตัวว่าต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ แต่การใจอ่อนสามารถฝึกฝนให้ใจแข็งขึ้นได้ อย่างเช่น ถ้าเราชอบให้คนยืมเงินง่าย ๆ หรือว่ามีคนมาจีบก็เผลอให้ใจเขาไป สิ่งเหล่านี้ต้องเพิ่มตัวสติสัมปชัญญะเข้าไปมากยิ่งขึ้น แล้วส่วนผสมมันก็จะลงตัวไปโดยปริยาย ไม่มีสิ่งใดดึงรั้งเราได้นอกจากตัวของเราเองที่จะต้อง ฝึกฝน ฝึกฝน และฝึกฝนต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ นักกีฬาหลายคนไม่ได้เชื่อมั่นตัวเองตั้งแต่แรกว่า เขาจะได้เหรียญทอง อย่าใจอ่อนกับอะไรง่าย ๆ เพราะชีวิตไม่ได้มีคำตอบเดียวไปทั้งชีวิต คำตอบมันขึ้นอยู่กับตัวเราเองให้คำตอบ.
ตราบใดที่โลกนี้ยังไม่แตกทุกสิ่งก็ย่อมมีโอกาสพัฒนาขึ้นได้ ทรัพยากรมากมายรายล้อมตัวของเราอยู่ ไม่มีสิ่งใดที่เราจะไม่สามารถหยิบมาเป็นอาวุธได้เลย ทุกสรรพสิ่งคืออาวุธชั้นเลิศ ไม่ว่าจะเป็นวินัย อดทน เพียรพยายาม มุมานะ บากบั่น หรือแม้กระทั่งปัญญาเองก็ตาม อย่าลืมเด็ดขาดว่าเราคือมนุษย์ผู้ที่มีจิตใจสูงกว่าสัตว์ทั่วไป เราจะทำอย่างไรให้ชีวิตของเราดีขึ้นได้นั้นก็ต้องเนื่องมาจากใจ ถ้าใจเราฝึกมาดีแล้วมันย่อมนำสุขมาให้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าความอ่อนโยนกับใจอ่อนจะมีความหมายใกล้เคียงกัน แต่ถ้าเราปรับสเกลให้มันตรงกลางมันก็จะกลายเป็นสิ่งที่ดี ไม่ปฏิเสธปัญหาที่เข้ามาแล้วก็น้อมรับความสำเร็จบางอย่างในชีวิตที่เราทำได้บ้าง.
อ่อนน้อมถ่อมตนเป็นเรื่องสำคัญ
ไม่มีอะไรจะสลักสำคัญไปกว่าการอ่อนน้อมถ่อมตน มันคือหลักการของใจที่สำคัญมาก เมื่อเรามีความอ่อนโยนเราก็สัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างตลอดเวลา เช่น เรารับรู้สึกพลังงานที่ไม่จำเป็นต้องแข็งทื่อแบบนั้น ก็เลยปล่อยให้มันผ่านพ้นตัวเราไป เริ่มสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบข้างมากขึ้นว่า ทำไมแต่ละคนจึงไม่มีความอ่อนโยนกันเลย เราก็จึงต้องอ่อนโยนบ้างก็เท่านั้นเอง เรียนรู้ว่าชีวิตเป็นสิ่งที่ต้องเล่นแร่แปรธาตุ ไม่จำเป็นต้องมีท่าเดียวในการดำเนินชีวิต เราอาจจะมีท่าเล็ก ท่าย่อย และท่าไม้ตาย แต่อย่างน้อยมีสักท่าที่เราชัวร์ว่า ถ้าเล่นท่านี้จะทำให้ชีวิตของเราดีขึ้นได้จริง แบบนี้ก็ย่อมทำให้เป็นสิ่งที่ดีขึ้นได้เหมือนกัน ใช้สายตาเพื่อสอดส่อง หูเพื่อรับฟัง ปากเพื่อตั้งคำถาม ว่าวันนี้เราจะใช้ชีวิตไปเพื่ออะไร.
คุณสมบัติหลักของความอ่อนโยนก็คือมันมีธรรมชาติที่ เข้ากันกับความลำบากได้อย่างดี ยิ่งลำบากมากแค่ไหน เราก็ควรที่จะอ่อนโยนให้มากขึ้นเท่านั้น เรียนรู้ถึงความแตกต่างระหว่างใจอ่อนกับอ่อนโยน แล้วเราก็จะหาตรงกลางของสิ่งเหล่านี้เจอ เมื่อชีวิตมาสอนเราว่า ให้เราปรับตัวตาม ไม่ใช่แข็งทื่อเหมือนเดิมตลอดเวลา นั่นจึงก็เป็นโจทย์ยากสำหรับคนที่ลำบากมาโดยตลอด เพราะเขาเหล่านั้นไม่รู้วิถีทางว่าความอ่อนโยนย่อมเป็นทางที่ยอดเยี่ยมของเหล่าวิทยายุทธชั้นเลิศ มันได้มาจากความลำบาก แล้วมันก็จะมอบเป็นสิ่งที่ทำให้เราได้อยู่บนโลกนี้อย่างมีความสุขนั่นเอง ลำบากมามากแล้ว วันนี้สบายบ้างจะเป็นอะไรไปเล่า.
ความสำเร็จจำเป็นจะต้องมีความอ่อนเป็นที่ตั้ง
ถ้าไม่อ่อนโยนสู้ความลำบาก แล้วชีวิตของเราจะไปได้ดีได้อย่างไร เมื่อธรรมชาติมาสอนเราว่าให้เราตระหนักรู้ถึงความจริงข้อนึงว่า ธาตุต้องเข้ากันเมื่อถึงเวลาที่เข้ากัน แต่ธาตุจำเป็นต้องขัดแย้งกันเมื่อถึงเหตุอันสมควร ดังคำกล่าวที่ว่า “ชีวิตมิอาจดำเนินต่อไปได้ถ้าปราศจากธาตุทั้งห้า ก็คือ ธาตุไม้ ธาตุไฟ ธาตุดิน ธาตุโลหะและธาตุน้ำ” ที่ตั้งของทั้งหมดย่อมมีหน้าที่แตกต่างกันไป แต่เราเป็นธาตุใดนั้นก็ย่อมรู้อยู่ด้วยตัวของสภาวะนั้น ๆ เอง ไม่สามารถแปรเปลี่ยนเป็นธาตุอื่นได้ เพียงแต่ฝึกฝนธาตุอื่นเอามาไว้ในตนก็เท่านั้นเอง เหมือนว่าชีวิตก็ต้องฝึกฝน รวมไปถึงความคิด จิตใจก็ต้องฝึกฝนเฉกเช่นเดียวกัน ถ้าปราศจากฝึกปรือตนเอง ก็มิอาจครอบครองสิ่งใดได้.
พูดเผิน ๆ ความสำเร็จอาจจะฟังดูยาก แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ยากเลย เพราะถ้าเรารู้สองสิ่งนี้ก็คือ ลำบากให้เป็น และสบายให้ได้ ความอ่อนโยนในที่นี้จะเน้นหนักไปเรื่องของใจ และสัมพันธ์กันกับวิถีทางของใจด้วย หลักของการมีก็ต้องคู่กันกับไม่มี แล้วสิ่งใดที่ไม่มีก็ย่อมเป็นสิ่งที่ต้องสร้างเสริมกันอยู่เสมอ ไม่มีอะไรต้องคำนึงไปมากกว่าจุดยืนในวันนี้เรายืนไปเพื่ออะไร หรือมีชีวิตกันไปทำไม แต่ละคนมีหนทางไปสู่ความสำเร็จแตกต่างกัน แต่วิถีทางเดินย่อมคล้ายคลึงกัน ก็คือเริ่มต้น เรียนรู้ ล้มลุก และฮึดสู้ ในท้ายที่สุดก็ย่อมได้รับชัยชนะกลับไป เปรียบเสมือนการเดินทางของยอดมนุษย์ที่เขาต้องต่อสู้เพื่อบางสิ่งที่เขาเชื่อมั่น และนำความหวังกลับมาสู่ดินแดนที่เขาจากมา.