เมื่อเราเปลี่ยนผ่านแล้วก็ย่อมต้องยืนหยัดต่อสู้ในทิศทางที่ควรจะเป็น ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นกับเราสิ่งนั้นมีเหตุผลที่สมควรกับเราอย่างแน่นอน บางทีการต่อสู้ก็ยังจำเป็นจะต้องตระหนักว่าชีวิตยังมีที่ให้เรายืนอยู่จริง ๆ เพราะการยืนหยัดจำเป็นต้องใช้พื้นที่จำนวนหนึ่ง เพื่อที่ให้ชีวิตของเราไปต่อได้ หนทางนี้เป็นเพียงแค่การเริ่มต้น แต่ยังไงแล้วมันก็คือสิ่งที่ต้องเป็นไปอยู่ดี หาที่ที่เรามั่นใจแล้วยึดหลักนี้ไว้ให้จงได้.
สู้ชีวิตแล้วชีวิตสู้กลับ
มันก็คงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า การสู้ชีวิตแล้วชีวิตจะต้องสู้กลับ เพราะการสู้ชีวิตมันคือการกระทำ แล้วชีวิตสู้กลับมันก็คือการสะท้อนกลับของการกระทำ ชีวิตไม่ใช่สิ่งที่เราจะไปทำอะไรกับมันได้มาก เราอาจจะทำได้แค่เพียงเราใช้ชีวิตต่อไป ตามความเชื่อ ความคิด และความเข้าใจต่าง ๆ ที่เพิ่มมากขึ้นเท่านั้นเอง ถ้าเปรียบเทียบการสู้ชีวิตก็คงเป็นสิ่งที่เราพยายามต่อกรกับชีวิตตัวเองแบบผิดวิธี ซึ่งการสู้ชีวิตที่ถูกต้องมันก็ควรจะเป็นสู้ชีวิตอย่างมีสติ ไม่ใช่สู้ชีวิตแล้วชีวิตจะโอเคกับเรา แล้วเราก็ได้ผลลัพธ์เป็นสิ่งที่ชีวิตนั้นราบรื่น ก็เพียงเพราะชีวิตนั้นยากลำบากใน ณ ตอนนี้ เราก็จึงอยากให้ชีวิตดีขึ้นมิใช่หรือ การที่ชีวิตสู้กลับจึงเป็นเรื่องของธรรมชาติว่า เรามั่นใจกับหนทางเดินที่เราเลือกจริงไหม.
สู้ชีวิตให้ได้ในระดับหนึ่ง แล้วชีวิตก็จะไม่สู้เรากลับอีกต่อไป หลังจากนั้นเราจงใช้คำว่าประคับประคองชีวิตต่อไปให้ได้นานที่สุดจะดีกว่า เพราะลำดับขั้นของชีวิตคนทั่วไปก็มักจะเป็น ใช้ชีวิต ปล่อยทิ้งชีวิต ดำเนินชีวิต แล้วเริ่มอยากสู้ชีวิต แล้วชีวิตก็สู้กลับจนเราสู้กลับไม่ไหว แต่ให้เปลี่ยนเป็นคนส่วนน้อยก็คือ ใช้ชีวิต ประคับประคองชีวิตที่เป็นไป ดำเนินชีวิตอย่างสิ่งที่ควรจะเป็น แล้วก็ค่อย ๆ สู้ชีวิตบ้างตามกาล หลังจากนั้นชีวิตก็จะไม่สู้กลับอีกต่อไป เหมือนว่ากระบวนการสร้างของคนส่วนมากกับคนส่วนน้อยที่มีมุมมองต่อการสู้ชีวิตนั้นต่างกัน เพราะกลุ่มแรกมักจะสู้ชีวิตต่อเมื่อต้องสู้ แต่กลุ่มที่สองมักจะสู้ชีวิตเป็นเรื่องปกติ เขาจึงไม่ได้รับผลกระทบของการที่ชีวิตสู้กลับมากขนาดนั้น.
พื้นที่เท่าไหร่ที่เราต้องการยืน
บ้างก็บอกว่าต้องการเพียงเล็กน้อย บ้างก็บอกว่าต้องการอย่างพอดี และบ้างก็บอกว่าต้องการอย่างมากมายมหาศาล ไม่ว่าเราจะเป็นคนแบบใด เราจงตระหนักรู้ให้ดีว่าไม่มีใครใช้พื้นที่มากกว่าสิ่งที่เขาต้องการยืนหรอก มันจะมีแต่คนที่คิดว่าพื้นที่เท่านี้ยังไม่พอกับจุดยืนของเขาเท่านั้นเอง แล้วก็เลยเป็นคำถามว่าเราต้องรู้จักตัวเองให้มากขึ้นกว่านี้ ถ้าเรายังไม่รู้จักตัวเองมากพอ แถมเรายังมีคำถามกับตัวเองเพิ่มมากขึ้นในทุกวัน ก็จำเป็นที่จะต้องศึกษาตัวเองต่อไปอีก เพราะปัญหาที่เป็นผลพวงของการไม่รู้จักตัวเอง มันจะทำให้เราใช้พื้นที่น้อยไป และก็มากไปตลอด วันนี้จึงเป็นวันที่ต้องสอบทานตัวเองว่าเราควรจะเพิ่มหรือลดอย่างไร ปรึกษาคนที่พอปรึกษาได้ หลังจากนั้นมันก็อาจจะพอที่มีคำตอบได้บ้าง.
กระบวนการของการสอบทานตนเอง มักจะเป็นหน้าที่ของบุคคลนั้น ๆ ซึ่งมันก็จะเป็นโจทย์ยากสำหรับคนที่เพิกเฉยการรู้จักตนเอง แต่มันก็จะเป็นการเริ่มต้นเดินทางอันสลักสำคัญที่สุดของชีวิต พอเราเริ่มต้นอะไรสักอย่างหนึ่งมันจะยุ่งยากในช่วงเริ่มต้น แต่พอหลังจากนั้นมันก็จะง่ายขึ้นไปอีก ทว่า ชีวิตมันอาจจะเหวี่ยงบททดสอบมาให้เราแก้ปัญหา ก็อย่าลืมที่จะปรับตัว เปลี่ยนแปลง แล้วก็ทำความเข้าใจชีวิตให้มาก ๆ เพราะชีวิตของเราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ที่เรานั้นได้ร่วมสร้างมันมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่เรานั้นหลงลืมไปว่า จริง ๆ แล้วชีวิตมวลรวมของเราทั้งหมด ที่เราได้ประสบพบเจอ หรือได้รับรู้เข้าใจมันก็คือสิ่งที่ธรรมชาตินั้นสื่อสารกับเรามา.
เปลี่ยนอิริยาบถได้แต่อย่านาน
บางคนชอบนั่งหรือนอนนาน ๆ การเปลี่ยนอิริยาบถก็อาจจำเป็น เวลาที่เรานอนนาน ๆ พอตื่นขึ้นมาก็อาจจะยืดเส้นยืดสายหน่อย มันก็จะส่งผลทำให้เราผ่อนคลายกล้ามเนื้อตอนที่เราหลับใหลยามค่ำคืนได้ดี ในทุกวันเราอาจจะต้องทำให้มันเป็นกิจวัตรประจำวัน เพื่อสร้างการทำซ้ำอย่างต่อเนื่อง เช่น กินอาหารอะไรที่มีประโยชน์ซ้ำ ๆ ออกกำลังกายเป็นประจำหรือว่า การบริหารสมองด้วยการขบคิด ทบทวน เรื่องราวที่ผ่านพ้นมาอยู่เสมอ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ชีวิตมวลรวมของเราสมดุล และสมมาตร แต่ก็อย่าลืมไปว่าทุกการเคลื่อนไหวต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แต่ถ้าเราพูดถึงชีวิตแล้วการยืนหยัดย่อมเป็นท่าตั้งต้นที่เราต้องกลับมา ไม่ใช่ว่าเราไปนั่ง ๆ นอน ๆ จนเราลืมยืนหยัดไป สบายได้แต่อย่าติดสบายแค่นั้นเอง.
ชีวิตไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว บางคนอาจจะเสนอทางเลือกอื่นว่า เราปรับแต่งค่าตั้งต้นของท่ายืนหยัดได้ไหม จริง ๆ มันก็ได้ แต่เกรงว่าในระยะยาวเราจะเสพติดท่า ๆ นั้นจนหลงลืมไปว่าชีวิตที่แท้จริง แก่นของชีวิตต้องการอะไรกันแน่ เพราะท่ายืนเป็นท่าตั้งต้นที่สมควรที่สุด เมื่อเจอมรสุมของชีวิตที่มีการยืนหยัดก็เป็นการที่เรายึดเกาะไว้ได้ รวมไปถึงก่อนจะเริ่มต้นออกเดินทางเราก็ต้องยืนเพื่อมองทิศทางที่เรากำลังจะเดินทางไป หรือก่อนที่เราจะวิ่งเราก็ต้องยืนก่อน เหมือนว่าทุกท่าตั้งต้นควรจะเป็นท่ายืนไปอย่างนั้น หากว่าใครอยากจะเปลี่ยนท่าตั้งต้นของชีวิตก็สามารถเป็นไปได้ แต่มันก็อาจจะเหนื่อยมาก หรือลำบากมากกว่าที่มันควรจะเป็นจริงก็ได้เหมือนกัน ลองสังเกตตัวเองให้ดี.
ชีวิตยังไงก็ต้องสู้ต่อไป
ความสุขในชีวิตไม่ได้เกิดจากการนั่งนิ่ง ๆ หรือนอนนิ่ง ๆ แต่อย่างใด แต่มันคือการขยับเขยื้อนร่างกายไปอย่างสิ่งที่ควรจะเป็น ตามทิศทางลมของโลก เช่น โลกนี้ให้ค่าของความถูกต้องและความดีเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม เราก็จำเป็นจะต้องทำชีวิตให้เป็นไปอย่างนั้น เพื่อให้เราเข้าใจและตระหนักรู้ว่า ไม่มีอะไรที่จะเสริมสร้างตัวตนได้เท่ากับ ความคิด คำพูด และการกระทำของเราจริง ๆ ทุกอย่างในชีวิตก็คือเป็นสิ่งที่ทำให้เรารับรู้เพื่อตัวตนใหม่ของเราอยู่ตลอดเวลา ชีวิตไม่เคยหยุดนิ่ง แล้วเหตุผลที่มันไม่เคยหยุดนิ่ง ก็เพียงเพราะเวลาทำให้การเปลี่ยนแปลงนั้นสมดุลอยู่เสมอ ไม่ได้มีอะไรหนักไปหรือเบาไปในเรื่องของธรรมชาติ นี่คือความจริงที่มันเป็นไปอยู่แล้ว ซึ่งมันเกิดก่อนเราจะทำความเข้าใจอีก.
การสู้ชีวิตจึงเป็นค่าเริ่มต้นของชีวิต แล้วการยืนหยัดก็ควรจะเป็นท่าตั้งต้นของชีวิตเฉกเช่นเดียวกัน การยืนหยัดเพื่อต่อสู้จึงเป็นกระบวนการสร้างที่ธรรมชาตินั้นมอบให้กับเรามา แต่มันอยู่ที่ว่าวันนี้เราเพิกเฉยต่อเสียงเรียกที่ธรรมชาตินั้นมอบให้กับเรานานแค่ไหนแล้ว ถ้าเราไม่สนใจไยดีกับอะไรเลย สิ่งต่าง ๆ ก็ไม่สามารถสื่อสารกับเราได้ เปิดโอกาสให้ธรรมชาติได้แจ้งเตือนเราบ้าง เปิดแจ้งเตือนเอาไว้ แล้วก็อาจจะเปิดระบบสั่นเตือน หรือว่าให้มันมีเสียงเรียกเข้าก็ตามใจของเราเลย ฝึกฝนสติสัมปชัญญะ ที่จะเป็นตัวรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับเรามาแล้วบ้าง เราทำดี หรือทำไมดีอะไรก็ตามแต่ ก็จำเป็นจะต้องติดตามผลของการกระทำอยู่เนือง ๆ เพื่ออนาคตที่ยืนหยัดแล้วต่อสู้มันต่อไป.