ถ้าไม่มีความล้มเหลวก็คงไม่มีคำว่าพ่ายแพ้ กลับกันถ้าไม่มีคำว่าสำเร็จก็คงไม่มีคำว่าชัยชนะ หลายคนเวียนวนอยู่กับคำว่าล้มเหลว จนไม่กล้าเดินออกมาจากวังวนนั้น จนกว่าจะตระหนักรู้ว่าความล้มเหลวนั่นแหละ เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จซึ่งมิอาจหลีกเลี่ยงได้ กว่าจะรู้ก็ต้องใช้เวลาระดับหนึ่งเพื่อที่จะศึกษาหาคำตอบที่แท้จริง.
ทุกอย่างยังหยุดนิ่ง
ทว่า ในโลกใบนี้สร้างสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมาตามกระบวนการของธรรมชาติ เมื่อมวลรวมตัวกันมากย่อมเกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาดขึ้นมา การจะสร้างสิ่งหนึ่งขึ้นมาย่อมต้องใช้มวลมหาศาลหาใช่เวลาไม่ เวลานั้นจริง ๆ ก็เป็นอนันต์ซึ่งไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าเวลานั้นคืออะไรอย่างแท้จริง เพราะเวลานั้นแปรผันไม่ตรงกับความเป็นจริงสักเท่าไร พูดภาษาชาวบ้านว่า “คุณยังไม่ล้มเหลวตราบเท่าที่คุณยังไม่ยอมรับว่าคุณล้มเหลว” หากแต่คุณจะเดินหน้าต่อไปในวันที่คุณล้มเหลวนั่นแหละ คือกุญแจที่จะไปสู่ชัยชนะอันแท้จริง.
กลับมาสู่ห้วงเวลาต่อ ในเมื่อเวลานั่นหยุดนิ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น (ไม่ใช่ซะทีเดียว) เพราะมีพลังงานชนิดหนึ่งซึ่งจะสร้างขึ้นได้จากจิตนี่เอง เรียกว่าพลังจิต การสร้างเหตุก็ต้องสร้างจากสิ่งนี้ อย่างนี้ทำไมการปลูกต้นไม้จึงเป็นเรื่องของสภาพแวดล้อม และภายในของต้นไม้ล่ะ ก็เพราะปัจจัยสำคัญที่เราไม่รู้ว่าต้นไม้นั้นจะเติบโตหรือไม่ก็เพราะเรายัง ‘ไม่เห็น’ ไงล่ะ แค่นี้แหละ เพราะการที่เวลาหยุดนิ่งบวกกับ ไม่สัมพันธ์กับการปรากฏเห็นจึงไม่คิดว่ามันจะสำเร็จ ไม่ว่าจะงานเอย การลงทุนเอย หรือว่าความรักเอย ก็ยากที่จะเห็นว่าเราทำถูกแล้วหรือยัง แล้วต่อจากนี้ไม่ต้องรอเวลา แต่ให้เร่งสร้างมวลให้ได้มากที่สุด หนาแน่นที่สุด เพื่อจะทำให้มันปรากฏเห็นขึ้นมา.
สร้างมวลอานุภาพที่ยิ่งใหญ่
การพยายามอย่างยิ่งยวดต่อเป้าหมายนั่นแหละ จะนำไปสู่กลุ่มก้อนพลังอันยิ่งใหญ่ได้ ความมีวินัยและอดทนจะเป็นปัจจัยในการสร้างสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมา การอัดแน่นของความคิดจะนำมาซึ่งการกระทำที่งดงาม ผู้คนส่วนมากจะไม่ค่อยตระหนักรู้ในส่วนนี้มาก เพราะว่ามันไม่สามารถมองเห็นได้ แต่ก็สามารถรับรู้พลังบางอย่างได้เช่นกัน การเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ จะทำให้สร้างกำลังใจให้กับตัวเองหลังจากนั้นก็จะเริ่มมีพลังใจ และส่งผลต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ เป็นกระแสของการกระทำ ทำให้สร้างมวลไปเรื่อย ๆ ผ่านการกระทำในทุกวัน จนกลายมาเป็นพลังมหาศาลที่สร้างไว้อย่างดีแล้ว จึงกลายมาเป็นจุดเปลี่ยนที่จะปรากฏเห็นว่าสิ่งนั้นเราเดินมาถูกทางแล้วหรือยัง ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ย่อมมีผลอยู่แล้วล่ะ เพียงแต่ว่ามันมีมวลเพียงพอต่อการปรากฏเห็นไหม หรือว่าจะสัมผัสกับความรู้สึกตัวเองก็ได้เช่นกัน.
อย่าล้มเลิกความตั้งใจเด็ดขาด นี่คือกฎข้อห้ามของการสร้างมวลพลัง เพราะว่าเมื่อพลังนั้นขาดช่วงก็จะไม่สามารถสานต่อพลังได้ การกระทำซ้ำ ๆ ในรูปแบบคล้ายคลึงกันจะเรียกว่า “การทำเป็นประจำ” ซึ่งจะมีผลมหาศาลเมื่อทำแบบนี้โดยใช้เวลาทุกวันในการสะสม เมื่อไหร่ก็ตามที่ทำบ่อย ๆ ซ้ำ ๆ กระบวนการต่อไปจึงเรียกว่า ‘นิสัย’.
นิสัยคือพลังงานบริสุทธิ์
ทางที่ลัดและสั้นที่สุดคือการเปลี่ยนนิสัยตัวเอง แต่มันก็ไม่ใช่วิธีการที่ง่ายดายนัก เพราะการเปลี่ยนนิสัยนั้นยากพอ ๆ กับการเปลี่ยนแปลงชีวิตนั่นแหละ พูดภาษาชาวบ้านก็คือ “ถ้าเปลี่ยนแปลงนิสัยได้ ก็สามารถเปลี่ยนโลกทั้งใบได้” นิสัยคือพลังงานบริสุทธิ์ที่ไม่มีความเหน็ดเหนื่อย อ่อนล้า หรือท้อแท้ในจิตใจเลย เพราะว่าทำสิ่งนั้นโดยปราศจาก ‘สิ่งรบกวน’ จึงเรียกได้ว่าเป็นพลังงานบริสุทธิ์.
แล้วคน ๆ หนึ่งสามารถเปลี่ยนวิถีชีวิตตัวเองได้อย่างไร ก็ต้องย้อนกลับถามว่าเขาเหล่านั้นเปลี่ยนแปลงตัวเองโดยวิธีใด แล้วเพราะเหตุใดจึงเห็นประโยชน์ในการเปลี่ยนแปลงตัวเอง นี่เป็นคำถามที่ดีเพื่อที่จะค้นหาคำตอบที่สำคัญ แต่จากความคิดเห็นส่วนตัวก็สรุปได้ว่า คนส่วนมากเปลี่ยนแปลงนิสัย จากการค่อย ๆ เปลี่ยนความคิด และมุมมองต่อสิ่งต่าง ๆ จนเกิดความเคยชิน หลังจากนั้นก็กลายเป็นสิ่งปกติในชีวิตประจำวัน ทว่า มองอีกมุมหนึ่งการมองว่า ความล้มเหลวมันอาจจะเป็นสิ่งรบกวนก็ได้ ถ้าเรามีนิสัยที่มุ่งตรงไปสู่ความสำเร็จจริง ๆ แล้วล่ะก็ การล้มเหลวสำหรับเขาจะเป็นแค่แมลงหวี่ที่รบกวนจิตใจเท่านั้น มิอาจทำให้ล้มเลิกไปได้ แล้วนี่ก็เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความสำเร็จที่ตรงข้ามกับความล้มเหลวจึงกล่าวได้ว่า ความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ.
ยังคงทำต่อไปไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
กลไกธรรมชาตินั่นถูกสร้างไว้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว มนุษย์จึงต้องเรียนรู้กลไกนั่นเพื่อที่จะหาหนทางในชีวิตว่าจะทำอย่างไรดี ในเมื่อมีความล้มเหลวก็ย่อมต้องมีความสำเร็จ ถ้าอยากประสบผลสำเร็จก็จงอย่ากลัวความล้มเหลว ยิ่งล้มเหลวมากก็ยิ่งเห็นข้อผิดพลาดได้เยอะ แล้วยิ่งเห็นข้อผิดพลาดได้เยอะก็จะยิ่งพัฒนาอย่างยิ่งยวดเช่นเดียวกัน หลายคนใช้ชีวิตเหมือนระแวง และระวังไปหมดซะทุกเรื่อง บางทีการที่ผิดพลาดบ้างก็จะเป็นชนวนอันสำคัญให้ความคิดคุณเติบโตมากขึ้น เพราะนั่นเรียกว่าการปรับตัว.
ในวันนี้สิ่งที่ควรทำมากที่สุดคือเดินต่อไปในวันที่แทบจะหมดเรี่ยวแรง สามารถพักได้แต่ก็อย่านานจนเกินไป เดินช้าก็ยังดีกว่าหยุดนิ่ง ถ้าล้มก็จงลุกขึ้นมาเท่าที่ไหว และจงใช้แรงทั้งหมดที่มีเดินหน้าต่อไป ทำแบบนี้วนไปเรื่อย ๆ ล้มแล้วลุก ลุกแล้วเดิน ทำจนกว่าจะเป็นนิสัยแล้วจะกลายเป็นเรื่องปกติที่ต้องเจอในชีวิตประจำวัน คงไม่มีใครไม่เคยเจออุปสรรค และคงไม่มีใครไม่เคยล้มเหลว แต่ว่าคนที่ล้มเหลวจะมีความคิดว่ายังไงก็ไม่สามารถทำได้หรอก ส่วนคนที่ประสบความสำเร็จก็จะมีความคิดว่าไม่เป็นไรวันนี้ไม่ได้ แต่พรุ่งนี้อาจจะได้ก็ได้นะ ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ในการจะรักษาศักยภาพของมวลพลังนั้นให้สัมฤทธิ์ผลได้.