ความคิดเห็นต่อการบรรยาย
Robinson ได้บอกอย่างแรกเลยว่า หลักฐานอันสำคัญที่แสดงถึงความพิเศษของมนุษย์คือการสร้างสรรค์ ในสิ่งที่เขาได้ศึกษามาและก็สิ่งที่อยู่ตอนนี้ด้วยเช่นกัน อย่างที่สองก็คือ มันถูกใส่เอาไว้ในที่ถูกปกปิดเอาไว้และยากที่จะรู้ได้ว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ซึ่งมีความเกี่ยวโยงกับอนาคตด้วย.
เขามีความสนใจในเรื่องการศึกษา และเขาก็เชื่อว่าทุกคนสนใจการศึกษาอยู่เหมือนกัน ให้คุณคิดว่าคุณอยู่งานสังสรรค์ แล้วมีคนในงานนั้นที่ทำงานเกี่ยวกับการศึกษา ซึ่งแน่นอนว่างานนั้นจะไม่ใช่งานสังสรรค์อีกต่อไป ก็ในเมื่อคุณจะไม่ถามเขากลับไป การที่มีคนถามว่า “คุณทำงานอะไร” แล้วถ้าคุณตอบกลับไปว่า “กำลังทำงานเกี่ยวกับการศึกษา” คนที่ถามก็มักจะเลือดขึ้นหน้าแล้วคิดในใจว่า “โอ้พระเจ้า ทำไมต้องเป็นเขาด้วย วันเดียวของเขาหมดไปเหมือนผ่านไปเกือบอาทิตย์”.
เขาก็ยังเน้นย้ำว่าทุกคนก็ต้องชอบการศึกษา เนื่องจากการศึกษาสร้างอนาคตที่ไม่สามารถคว้าเอาไว้ได้ คุณลองคิดว่านักเรียนที่เริ่มเรียนตั้งแต่ปี 2006 เขาจะเกษียณที่ปี 2065 ซึ่งจะไม่มีใครตั้งข้อกังขาใด ๆ เลย ไม่ว่าจะอีกกี่ปีข้างหน้า พวกเขารู้สึกว่ามันก็เป็นเรื่องปกติที่ทุกคนต้องไปถึงจุดนั้น รวมถึงคนที่มีพรสวรรค์ก็เป็นคนที่จะถูกโดนสบประมาทอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งไม่ได้มีการสนับสนุนคนเก่งมากเพียงพอ.
ต่อไปนี้เขาจะพูดถึงเรื่องการศึกษาและการสร้างสรรค์ ข้อยืนยันของเขาต่อเรื่องการสร้างสรรค์ในยุคปัจจุบันนี้ มีความสำคัญในแง่มุมของการศึกษาว่าเป็นความสามารถที่ต้องพึงมี รวมถึงเราควรปฏิบัติกับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน.
เรื่องราวต่อไปนี้คือเรื่องของเด็กผู้หญิงอายุ 6 ขวบ ที่นั่งอยู่หลังห้องเรียน คุณครูก็เห็นว่าเด็กผู้หญิงคนนี้กำลังวาดรูปอยู่ก็เลยถามว่า “นักเรียนกำลังวาดรูปอะไรอยู่คะ” เด็กผู้หญิงตอบกลับไปว่า “หนูกำลังวาดรูปพระเจ้าอยู่ค่ะ” แล้วครูก็ตอบกลับไปว่า “ไม่มีใครรู้ว่าพระเจ้าเป็นยังไง แล้วหนูรู้เหรอคะว่ารูปร่างหน้าตาของพระเจ้าเป็นแบบไหน” เด็กผู้หญิงตอบว่า “พระเจ้าจะมาเร็ว ๆ นี้แล้วค่ะ”.
เมื่อลูกชายของเขาอายุ 4 ขวบ ในประเทศอังกฤษ จริงอยู่ที่ลูกชายเขาก็อายุ 4 ขวบ ทุกที่นั่นแหละ ถ้าเรายิ่งไปยึดติดกับสิ่งที่เป็นเขาก็จะรู้สึกว่าเขาก็ยัง 4 ขวบอยู่เสมอ ซึ่งลูกชายเขาได้แสดงเป็น Joseph ในหนังเรื่อง Nativity! ซึ่งใส่เสื้อที่เขียนว่า “James Robinson IS Joseph!”.
ประเด็นอยู่ที่ว่าเรื่องนี้ไม่มีบทพูดอะไรมากนัก แต่มีเรื่องของโหราจารย์ 3 คน ซึ่งได้นำของมาถวายคือ ทอง กำยาน และมดยอบ หลังจากนั้นเขาก็เป็นคนถามเด็กว่า “ทุกอย่างปกติดีไหม” เด็ก ๆ ก็ตอบกลับไปว่า “ปกติดีครับ ไม่มีปัญหาอะไรครับ” แล้วนักแสดงก็ได้มีการสลับตัวกัน เด็กคนแรกจะต้องพูดว่า “ผมมอบทองให้กับคุณ” คนต่อไปจะพูดว่า “ผมมอบมดยอบให้กับคุณ” และคนสุดท้ายพูดว่า “แฟรงค์ส่งนี่มาให้” (Frank sent this) ซึ่งในความเป็นจริงจะต้องพูดว่า “ผมมอบกำยานให้กับคุณ” (Frankincense).
สิ่งที่เขากำลังจะสื่อก็คือเด็กไม่รู้ว่าผิดพลาด ก็เลยพูดออกไปแบบนั้น เด็กไม่กลัวที่จะผิดพลาดซึ่งการที่จะบอกว่าผิด ไม่ได้แปลว่าคุณผิดจริง ๆ มันอาจจะเป็นการสร้างสรรค์ก็ได้ แล้วถ้าคุณเตรียมตัวที่จะผิดพลาดมาไว้ก่อน มันจะดูไม่เป็นธรรมชาติทันที อีกนัยคือถ้าคุณไม่กล้าที่จะผิดพลาด การสร้างสรรค์จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน.
ระบบการศึกษาได้สืบทอดความคิดว่า การเกิดความผิดพลาดเป็นสิ่งที่ไม่ดี ซึ่งสิ่งนี้มันเป็นตัวปิดกั้นไม่ให้ความผิดพลาดนั้นเกิดขึ้นมาได้ Picasso เคยกล่าวไว้ว่า “เด็กทุกคนที่เกิดมาล้วนมีความเป็นศิลปินในตัวเอง” ปัญหาคือการที่เราเติบโตมาไม่ใช่เราจะมีความคิดที่สร้างสรรค์ได้เลยทันที เพราะมันถูกทำให้สูญเสียไปโดยสภาพแวดล้อม หรือนำการเรียนรู้เข้าไปแทนที่ความคิดสร้างสรรค์นั้น.
เขาได้ใช้ชีวิตอยู่ที่ Stratford-upon-Avon จนกระทั่ง 5 ปีที่ผ่านมา ในความจริงแล้วเขาได้ย้ายจากที่นั่นมาอยู่ที่ Los Angeles มันเหมือนไม่มีรอยต่ออะไรเลยในการที่ย้ายมา จริงอยู่ที่เขาอาศัยอยู่ที่ Snitterfield เป็นส่วนนอกจาก Stratford แล้วนั่นคือที่ของพ่อ William Shakespeare ถือกำเนิดขึ้น.
แล้วมีใครไม่เคยมีปัญหากับความคิดของตัวเองบ้าง ส่วนตัวเขาคิดว่ามี และมีใครบ้างที่คิดว่านักกวีคนนี้ไม่มีพ่อบ้าง รวมถึงใครคิดว่านักกวีคนนี้ไม่เคยผ่านวัยเด็กบ้าง นักกวีคนนี้ผ่านวัย 7 ขวบ มาในชีวิตอย่างแน่นอน นักกวีคนนี้ก็คงได้เรียนวิชาภาษาอังกฤษเหมือนกับคนอื่น ๆ และเขาก็น่าจะโดนพ่อของเขาห้ามเรื่องการนอนดึก และห้ามพูดต่อสาธารณชนก็เพราะเขาพูดไม่รู้เรื่อง.
ลำดับขั้นของระบบการศึกษาซึ่งมีอยู่ในทุกประเทศ แต่มันจะเปลี่ยนรูปแบบกันไปในแต่ละบริบท ซึ่งในระบบการศึกษาไม่ได้ให้ค่าของศิลปะมาเป็นอันดับต้น ๆ แต่กลับมีแค่คณิตศาสตร์ และภาษา หลังจากนั้นก็มนุษย์ศาสตร์ที่มาอยู่ในอันดับต้นของทุกประเทศ ดังนั้นศิลปะจึงอยู่โหล่สุดของทุกประเทศโดยปริยาย.
แล้วถ้าเราลองเปลี่ยนเป็นให้วิชาการเต้น มาสำคัญเท่ากับคณิตศาสตร์ล่ะ มันก็น่าจะเป็นไปได้ไม่ใช่เหรอ ก็เพราะเรามีร่างกายอยู่กับตัวเราตลอด มันต้องสำคัญสิ อย่างนี้เวลาประชุมเราก็ไม่ต้องเข้าประชุมก็ได้ เพราะร่างกายมันไม่ได้สำคัญขนาดนั้น แล้วสิ่งที่ระบบการศึกษาทั่วโลกกำลังทำอะไรกันอยู่ สิ่งที่เขาสร้างคือสร้างบุคลากรเพื่อสิ่งใดกันแน่ สำหรับเขาแล้วมองว่าระบบการศึกษาทั่วโลกในตอนนี้ กำลังสร้างศาสตราจารย์ให้กับมหาวิทยาลัยอยู่.
ระบบการศึกษาป้อนข้อมูลให้เราต้องทำคะแนนสูงที่สุดและต้องเป็นคนเดียวที่ได้ การที่ทุกคนต่างมองว่าคนที่เก่งที่สุดจำเป็นต้องทำคะแนนให้สูงที่สุด มันอาจจะไม่ใช่แบบนั้นเสมอไป ในประสบการณ์ของเขาไม่ใช่ทุกคนที่ใช้ชีวิตขึ้นอยู่กับสมองอย่างเดียว แต่ก็หลายครั้งที่พวกเขาใช้ชีวิตโดยใช้สมองแค่ด้านเดียว ด้วยการที่เพิกเฉยร่างกายนี้และใช้ร่างกายเป็นแค่ทางเชื่อมต่อไปยังสมองแค่นั้นเอง มันคล้ายกับการประชุมกันของสมอง.
ระบบการศึกษาที่เป็นอยู่ตอนนี้ได้ทำการสรุปทักษะการเรียนรู้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และไม่มีการปรับเปลี่ยนใด ๆ แม้แต่น้อยตั้งแต่ยุค 19th Century เป็นต้นมา ระบบการศึกษาออกแบบมาให้คนไปอยู่ในลัทธิอุตสาหกรรมกันหมด.
ลำดับขั้นนั้นถูกฝังรากเอาไว้ทั้งหมด 2 ไอเดียด้วยกันก็คือ.
1. สิ่งที่ทำให้ก่อเกิดประโยชน์ในอุตสาหกรรมนั้นจะถูกเรียนรู้มากที่สุด (That the most useful subjects for work are at the top)
ซึ่งอาจจะถูกคุณครูในโรงเรียน โน้มน้าวให้เด็กออกห่างจากการเรียนรู้ที่แท้จริงมากขึ้น เช่น การที่ถูกแนะนำให้ไม่ต้องทำสิ่งที่ตัวเองชอบ เพราะว่ามันไม่ก่อเกิดประโยชน์ในหน้าที่การงานขึ้น แล้วนี่เป็นสิ่งที่ผิดอย่างมหันต์ ตอนนี้โลกกำลังถูกปกคลุมด้วยการปฏิวัติของอุตสาหกรรม.
2. ทักษะด้านวิชาการ จะมาเป็นตัวชี้นำให้เรามองว่ามันเป็นความชาญฉลาดที่แท้จริง เพราะว่ามหาวิทยาลัยออกแบบเพื่อให้เรามองแบบนั้น (Academic ability, which has really come to dominate our view of intelligence, because the universities design the system in their image)
ให้คุณลองจินตนาการถึงระบบการศึกษาทั่วโลก ที่กำลังเพิ่มความยืดเยื้อในกระบวนการเข้ารับการศึกษาของมหาวิทยาลัย ซึ่งทำให้คนที่เก่งทางการสร้างสรรค์ไม่สามารถที่จะได้การยอมรับจากมหาวิทยาลัย มันหมายถึงว่ามหาวิทยาลัยได้สร้างกรอบความคิดเชิงวิชาการ ให้กับคนที่ได้คะแนนที่ดีเท่านั้น.
อ้างอิงจาก UNESCO ในอีก 30 ปีข้างหน้า “ทุกคนทั่วโลกจะจบการศึกษาจากระบบการศึกษามากขึ้น ตั้งแต่ทำการสร้างระบบการศึกษาขึ้นมา” จนถึงขั้นที่ใบปริญญาจะไม่มีค่าอะไรเลย ซึ่งเด็กในยุคนี้จะต้องพัฒนาตัวเองไปจนถึงขั้นจบปริญญาเอก ซึ่งมันจะเกิดกระบวนการเฟ้อเชิงวิชาการมากขึ้นหลายเท่าตัว แล้วตัวบ่งชี้ว่าโครงสร้างการศึกษาจะกลายมาอยู่ภายใต้เราแทน.
มี 3 สิ่ง ที่เกี่ยวกับความชาญฉลาดคือ.
1. ความหลากหลาย (Diverse)
มันคือความหลากหลายของการส่งออกไปให้ผู้คนได้รับรู้ ไม่ว่าจะเป็นทางการเห็น การได้ยิน การเคลื่อนไหว ทางนามธรรม และเกี่ยวกับการเคลื่อนที่.
2. ความคล่องแคล่ว (Dynamic)
สมองมนุษย์เหมือนกับกระแสของความคิดมันจะมาพร้อมกันโดยที่ไม่ได้แบ่งออกเป็นห้อง ๆ อนึ่ง ก้านของเส้นประสาท ได้เชื่อมต่อเข้าสมองทั้งสองส่วนเข้าด้วยกันซึ่งเรียกว่า Corpus Callosum และผู้หญิงก็จะมีสมองส่วนนี้หนากว่าด้วย มันก็เลยมีความเป็นไปได้ที่ผู้หญิงจะมีความสามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกัน.
เขาเห็น Chestnut ที่เป็นเหมือนคำพูดตลกเขียนอยู่บนเสื้อยืดโดยหมายความถึง “ถ้าผู้ชายกำลังดื่มด่ำกับการอยู่ในป่าไม้ และผู้หญิงไม่ได้รับรู้ถึงการดื่มด่ำนั้น ผู้ชายคนนั้นยังผิดอยู่ไหม”.
3. ความแปลกแยก (Distinct)
ในช่วงนี้เขากำลังเขียนหนังสือเกี่ยวกับพรสวรรค์ของผู้คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ชื่อว่า The Element ซึ่งเขารู้สึกเคลิบเคลิ้มไปกับผู้คนเหล่านั้น จึงเกิดคำถามมาว่า พวกเขาสามารถไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร ซึ่งเขาก็ได้มีโอกาสสนทนากับผู้หญิงที่เก่งมากคนหนึ่งที่ชื่อว่า Gillian Lynne เธอเป็น Choreography เธอสร้างผลงานที่ชื่อว่า Cats และ The Phantom of the Opera.
หลังจากที่ได้มีโอกาสร่วมทานอาหารกลางวันกับเธอ เขาจึงถามเธอไปว่า “อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้คุณกลายมาเป็นนักเต้นได้” เธออธิบายอย่างน่าทึ่งว่า ตอนที่อยู่ในโรงเรียนเธอสิ้นหวังกับชีวิต แล้วคุณครูก็ได้รายงานผู้ปกครองว่า “คุณครูคิดว่าเธอน่าจะเป็นโรคบกพร่องทางด้านการเรียน” เพราะเธอไม่สามารถมีสมาธิกับการเรียนได้เลย ถ้าในปัจจุบันนี้น่าจะบอกเธอว่าเป็นโรคสมาธิสั้น แต่ด้วยในยุคนั้นยังไม่มีการค้นพบเรื่องโรคสมาธิสั้นเธอจึงไม่ได้รับวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้.
หลังจากนั้นแม่ของเธอได้พาไปหาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง พอทำการทดสอบก็ได้เห็นว่าเธอไม่ได้มีความผิดปกติอะไรเลย แต่เธอกลับมีพรสวรรค์ที่จะเป็นนักเต้น เพราะเวลาเธอเคลื่อนไหวร่างกาย เธอจะเกิดกระบวนการเรียนรู้ขี้น รวมถึงการเคลื่อนไหวทำให้เธอคิดออกมากขึ้น หลังจากนั้นเธอก็ได้ไปสมัครที่ The Royal Ballet School และก็ได้ทำงานที่นั่นเช่นเดียวกัน รวมถึงได้จบการศึกษาจากที่นั่นด้วย ต่อมาเป็นผู้สร้าง Gillian Lynne Dance Company และเจอคนที่ชื่อว่า Andrew Lloyd Webber ที่ทำให้เธอได้สร้างการแสดงระดับโลกขึ้นมา และกลายมาเป็นเศรษฐีนีตั้งแต่นั้นมา.
Al Gore ได้เคยกล่าวไว้เกี่ยวกับระบบนิเวศและการปฏิวัติว่านั่นจะถูกจุดชนวนโดย Rachel Carson และเขาเชื่อว่าสิ่งนี้จะทำให้โลกได้เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ก็เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบของความคิด เริ่มต้นจากการสร้างขึ้นมาใหม่โดยคำนึงถึงขีดจำกัดของมนุษย์ที่สามารถเป็นไปได้อย่างสูงสุด ถ้าเรายังไม่ตระหนักต่อระบบการศึกษาแบบนี้ต่อไป อนาคตก็ย่อมไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง.
Jonas Salk ได้กล่าวไว้ว่า “ถ้าหากว่าแมลงหายไปหมดทั้งโลกภายใน 50 ปี ทุกสิ่งมีชีวิตก็ถึงกาลอวสาน” และ “ถ้าหากว่ามนุษย์หายไปหมดทั้งโลกภายใน 50 ปี ทุกสิ่งมีชีวิตจะกลับมาอุดมสมบูรณ์” และสิ่งนี้เป็นความจริงทั้งหมด ถ้าเราไม่ช่วยกันเปลี่ยนแปลงค่าตั้งต้นเดิม ให้กลายมาเป็นการช่วยให้เด็กสามารถมองเห็นอนาคตที่สดใสขึ้นได้ ดังนั้นเรามีหน้าที่ช่วยดึงศักยภาพในตัวเด็กให้เต็มที่มากที่สุด ก็จะเป็นเรื่องที่น่ายินดีเช่นกัน.
ความคิดที่ว่าระบบการศึกษาคือสูตรสำเร็จของชีวิต นั่นคือความคิดที่ผิดอย่างมหันต์
Sir Ken Robinson