การตายนั้นคืออะไร ใครเล่าจะล่วงรู้ความหมายอันแท้จริงได้ล่ะ เราตายไปแล้วสูญไหม เราตายไปแล้วจะเกิดมาอีกหรือเปล่า ทว่า การตายนั้นคือตายที่กายแต่ไม่ใช่ตายที่จิต แล้วจิตกับกายคืออะไรล่ะ คำถามพวกนี้ที่จะต้องหาคำตอบเพื่อเป็นหลักในการดำเนินชีวิต ถ้าเราเชื่อว่าตายแล้วสูญ การทำความดีนั้นก็จะไม่มีผลอะไรต่อชีวิตหลังความตาย แถมยังเสียเวลา เสียความรู้สึก และเสียพลังงานโดยใช่เหตุ กลับกันถ้ามองว่าตายแล้วจะไปเกิดอีก ย่อมตระหนักรู้ได้ว่าเราไม่ควรประมาทในการใช้ชีวิต.
ตายที่กายคือการตายที่ยังไม่หมดสิ้น
คนส่วนมากหลงผิดคิดไปว่าการฆ่าตัวตายนั้นจะนำมาซึ่งความสุข และหลงเชื่อไปว่าชีวิตหลังความตายนั้นจะไม่ทุกข์ ไม่ว่าจะคิดหรือไม่คิดก็แล้วแต่ สุดท้ายการฆ่าที่กายก็ยังไม่ใช่การฆ่าที่จิตอยู่ดี หลายครั้งที่เราใช้ชีวิตกันไปแต่ก็ขาดการตระหนักรู้เรื่องกรรม เรื่องเวียนว่ายตายเกิด และเรื่องกฎธรรมชาติ ก็เพราะสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของการอยากฆ่าตัวตายก็คือกิเลสนั่นเอง ไม่ใช่ใครอื่น เพราะกิเลสหลอกให้เราหนีปัญหา หนีไปเรื่อย ๆ ตายไปทุกชาตินั่นแหละคือทางออกสำหรับปัญหานี้ แต่อยากให้คุณลองสังเกตสักหน่อยว่า ถ้าการฆ่าตัวตายได้ผลจริง ทุกคนก็ฆ่าตัวตายกันไปหมดแล้ว เพราะทุกคนก็ทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น.
การฆ่าตัวตายนั้นส่งผลเสียอย่างมหาศาล โดยเฉพาะจิตที่หลงผิดก็จะยิ่งย้ำการหลงผิดนั้นให้ทวีคูณขึ้นไปอีก การกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ก็ยิ่งยากเย็น แต่พอเกิดมาได้แล้วก็ต้องฆ่าตัวตายแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจิตนั้นจะเริ่มตื่นรู้ขึ้นมาว่า การฆ่าตัวตายไม่ใช่ทางออกของปัญหานี้ หนทางของคนเราจึงมีความแตกต่างกันไปตามแต่การสะสมมา บางคนก็สะสมที่จะมองเห็นทางออกของปัญหา บางคนก็สะสมที่จะไม่เห็นทางออกของปัญหา แค่มองว่าปัญหามันเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ นี่ก็อาจจะเป็นสาเหตุของการหนีปัญหาก็ได้นะ อยากให้ลองทบทวนดูเพื่อที่จะไม่หลงผิดไปกันใหญ่.
ตายที่จิตคือการตายอย่างหมดจด
เมื่อทางออกของปัญหาทั้งหมดทั้งปวงอยู่ตรงนี้ ตรงหน้าเรานี่เอง คือการไม่หนีปัญหา การเผชิญหน้ากับปัญหา นั่นแหละคือทางออกของปัญหาทุกอย่างในโลกใบนี้ การจะตายที่จิตนั้นมีทางเดียว อย่าหนีปัญหาแค่นั้น เมื่อเรารู้แบบนี้แล้วสิ่งที่สมควรทำต่อไปก็คือเดินหน้าเต็มกำลัง ท้อได้แต่อย่าถอย สู้ต่อไปเรื่อย ๆ ถ้ากายมันตายก็ปล่อยมันตายไปเพราะจิตไม่ตายยังไงก็ต้องมีการเกิดต่อไปเรื่อย ๆ อยู่ดี การหวงแหนกายนี้มากไปก็ย่อมเป็นทุกข์แก่ผู้ที่ยึดในกายนี้ แต่การฆ่าตัวตายก็เป็นการหลงผิด ทั้งตึงไปและหย่อนไปทำให้ไม่ยอมจบสิ้นกันสักที.
ทางสายกลางคือเรียนรู้สัจธรรมอย่างพอดี ไม่หนีปัญหา และไม่จมอยู่กับปัญหา มองปัญหาทุกอย่างนั้นย่อมมีทางออกด้วยตัวของมันเอง ปัญหามันเกิดมาเพราะสิ่งนี้ ก็ต้องไปดับสิ่งนั้นแหละถึงจะถูกต้องที่สุด สิ่งที่สำคัญเลยคือ เหตุเป็นตัวนำมาซึ่งผล และถ้าเราไปสนใจที่ผลมัน มันจะไปดับเหตุได้อย่างไรกัน ก็ในเมื่อเหตุนำมาซึ่งผลยังไงล่ะ เราก็จำเป็นจะต้องไปดูที่เหตุนั้น พิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วนว่าเหตุนี้คืออะไร ทำไมเราถึงต้องเกิดมาด้วย เมื่อไรเราจะตายอย่างหมดจดเสียทีไม่ต้องมีการเกิดอีกแล้วในภพหน้า.
เราพบเจอความตายทุกขณะอยู่แล้ว
สิ่งที่เจอมาไม่ว่าจะเป็นอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตข้างหน้าก็ตามแต่ ล้วนแต่มีความดับไปเป็นธรรมดา แม้กระทั่งโลกใบนี้ที่มีอายุยืนยาว วันหนึ่งก็ย่อมต้องดับสูญไป ถ้าถึงเวลาของมัน และทุก ๆ เซลล์ในร่างกายนี้ ก็ทำงานอย่างยิ่งยวดเพื่อให้อีกเซลล์ได้เกิดขึ้นมา แต่ก็แน่นอนที่เซลล์เก่า ๆ ก็ได้ตายจากเราไปกันทั้งนั้น แม้กระทั่งความทรงจำที่เราจดจำมันได้ดีเยี่ยม ก็ล้วนแต่ต้องจางหายไปตามกาลเวลา เมื่อมีความทรงจำใหม่ ๆ มาแทนที่ ความทรงจำเก่านั้นก็ค่อย ๆ หมดสิ้นไปเหมือนกัน แล้วอะไรล่ะที่จะคงอยู่ตลอดไป ก็ตอบได้เพียงว่าไม่มี.
จิตเกิดดับทุกขณะ เกิดขึ้นมาและก็ดับไป อย่างเช่น ถ้าความโกรธอยู่ตลอดไป สงสัยโลกนี้คงร้อนเป็นไฟน่าดู แต่ในความเป็นจริงบางครั้งโลกนี้ก็ดูสงบ บางครั้งโลกนี้ก็ดูวุ่นวาย ก็เพราะจิตนั้นเกิดดับยังไงล่ะ จิตโกรธเกิด จิตโกรธตั้งอยู่ และจิตโกรธก็ดับไป วนแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ตัวสติก็มาตามรู้อารมณ์โกรธต่อไปอีก ถ้ามีสติเพียงพอก็จะตระหนักรู้ได้ว่าความโกรธนั้นก็ไม่เที่ยงเช่นเดียวกัน ยังไงก็ต้องตายไป และ ดังเช่น สติก็เกิดดับเช่นเดียวกัน ไม่ใช่จะมีสติตลอดเวลา บางครั้งหลงลืมสติ บางครั้งขาดสติ บางครั้งก็มีสติ แต่ถ้าสติเกิดขึ้นบ่อย ๆ ก็เหมือนจะดูต่อเนื่องและไม่ขาดสติ.
การตายที่คุ้มค่าที่สุด
การหลีกหนีความตายเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ และการจะผัดวันประกันพรุ่งเรื่องความตายก็ทำไม่ได้เช่นเดียวกัน การตายที่คุ้มค่านั้นจะต้องตายเพราะความดี ไม่ใช่ตายเพราะความไม่ดี เมื่อเราตายด้วยความดี สิ่งนั้นก็จะนำพาเราไปเกิดยังสถานที่ดีต่อไป นี่คือหนทางที่สำคัญยิ่ง ถ้าเกิดเราอยากจะมีความสุขในชีวิต และมีความสุขในภพชาติหน้า ก็จำเป็นต้องสะสมความดีอยู่เนือง ๆ ทำแบบนี้เป็นกิจวัตรประจำวันเข้าไว้ แล้วความดีก็จะติดตามจิตนั้นสืบไป ความเชื่อเรื่องภพหน้ามีอยู่จริง จะทำให้การตายยิ่งคุ้มค่ามากขึ้น ก็เพราะการตระหนักรู้เรื่องการตายเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก.
จิตสุดท้ายก่อนตายนั้นสำคัญ แต่จะมาเลือกหรือกำหนดนั้นไม่ใช่หนทางอย่างแน่นอน สิ่งที่จะให้จิตสุดท้ายก่อนตายไปในภพที่ดี ก็ต้องมาจากชีวิตประจำวัน การเข้าใจถูก เห็นถูกในสรรพสิ่ง ไม่ใช่ว่ามองเห็นผิด เข้าใจผิด แล้วจะให้จิตสุดท้ายก่อนตาย นำพาไปเกิดในภพที่ดีได้อย่างไร ทุกอย่างเป็นอนัตตาซึ่งไม่ใช่สิ่งที่บังคับบัญชาได้อยู่แล้ว ทุกอย่างล้วนเกิดเพราะเหตุ แล้วก็ดับไปเพราะเหตุเช่นเดียวกัน สุดท้ายการเวียนว่ายตายเกิดย่อมไม่ใช่ทางออก การตายอย่างหมดสิ้นกิเลสนั่นแลคือทางออกที่คุ้มค่าที่สุดแล้ว.