วิธีหยุดความคิดจากการทำงานในขณะทำกิจกรรมยามว่าง

วิธีหยุดความคิดจากการทำงานในขณะทำกิจกรรมยามว่าง

ความคิดเห็นต่อการบรรยาย

Winch ต้องการที่จะเป็นนักจิตวิทยาตั้งแต่เขายังเป็นวัยรุ่น มันเป็นสิ่งเดียวที่เขาต้องการมากที่สุด และตั้งแต่เขาได้ใบอนุญาตในการเป็นนักจิตวิทยา มันเหมือนกับว่าเป็นความท้าทาย แต่มันก็ดูปกติที่จะทำงานในช่วงกลางวันที่โรงพยาบาล หรือว่าที่คลินิก ซึ่งเขาใช้เวลาเพียง 1 ปีในการฝึกฝนตัวเองมาทำงานตรงนี้ งานนี้ยังทำให้เขาได้เงินมากกว่าที่เคยได้ในสมัยก่อนด้วยซ้ำ ก็เพราะสมัยตอนที่เขาเรียนเขาได้ทำงานที่ McDonald ซึ่งได้เงินไม่เท่ากับการทำงานจิตวิทยา.

ภายใน 1 ปี เป้าหมายในชีวิตก็ได้เข้ามาในคืนวันศุกร์ เดือนกรกฎาคม ตอนที่เขากำลังจะกลับไปยังอพาร์ทเมนท์ของเขา และกำลังจะขึ้นลิฟต์ไปพร้อมกับหมอที่ทำงานอยู่ในห้องฉุกเฉิน พอลิฟต์กำลังขึ้นไป ขณะนั้นลิฟต์ก็เกิดขัดข้องขึ้น เพื่อนบ้านของเขาก็ได้ร้องตะโกนเสียงดังว่า “รีบกดปุ่มฉุกเฉินด่วนเลย ด่วนที่สุดเท่าที่ทำได้” และก็พูดมาอีกว่า “วันนี้มันช่างเป็นฝันร้ายสำหรับฉัน” แต่เขาก็ได้สติกลับมาว่า “วันนี้ก็เป็นคืนฝันร้ายสำหรับเขาเหมือนกันนะ” กระนั้น เขาก็รู้สึกเลวร้ายไม่แพ้กัน แต่เขาก็ไม่ได้ตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ในครั้งนี้มาก รวมถึงเขาก็บอกให้เพื่อนบ้านใจเย็น ๆ และเหตุการณ์นี้มันทำให้เขาได้ฉุกคิดว่า “ทำไมการที่เขาได้ทำงานที่ใฝ่ฝันแล้ว แต่มันไม่ได้ทำให้เขามีความสุขขึ้นมาเลย”.

ความรู้สึกหมดไฟในชีวิตก็ได้ปรากฏเด่นชัดขึ้นมา ในอีกไม่กี่อาทิตย์ถัดมา เขาได้ถามตัวเองว่า ถ้าเกิดเขาได้ทำอะไรที่ผิดพลาดไปล่ะ หรือว่าถ้าเกิดเขาเลือกอาชีพที่ผิดไปล่ะ รวมถึงถ้าทั้งชีวิตที่ผ่านมาเขาตามหางานอื่นที่ไม่ใช่งานนี้ล่ะ แต่การตั้งคำถามของเขาก็ทำให้เขาได้ตระหนักรู้ว่า ไม่ใช่เลยเพราะว่าเขายังคงรักจิตวิทยา ซึ่งมันไม่เกี่ยวกับที่ทำงานเลย แต่มันคือการครุ่นคิดเกี่ยวกับที่ทำงานในขณะอยู่บ้านเสียมากกว่า เขาได้อยู่บ้านแต่ความคิดมันก็ได้ถาโถมมาหาเขาตลอดเวลา.

มันคือประสบการณ์ของความตึงเครียด เรามักจะขาดการตระหนักรู้เรื่องนี้ในที่ทำงาน ก็เพราะเรายุ่งกับงานตลอดเวลา มันทำให้เราไม่เห็นความเครียดในขณะนั้นได้เลย เราพยายามจะลดความเครียดด้วยการทำในสิ่งที่เราชอบ และอุปสรรคอันใหญ่หลวงที่เราพบเจอกันก็คือ ความครุ่นคิดอยู่ตลอด และมันหยุดไม่ได้ ก็การที่ครุ่นคิดอยู่ตลอดจะเป็นตัวกระตุ้นให้ความเครียดนั้นทำงานมากยิ่งขึ้น.

เปรียบเหมือนกับการเคี้ยวอาหารของวัว ซึ่งกระบวนการย่อยของวัวคือ เมื่อมันนำอาหารเข้าไปในปากแล้ว ก็จะกลืนอาหารลงไป และหลังจากนั้นมันจะขย้อนอาหารเพื่อมาเคี้ยวต่อ ซึ่งมนุษย์ไม่ควรทำแบบวัว ก็เพราะสิ่งที่เราเคี้ยวมันตลอด มักจะเป็นสิ่งที่เราไม่พอใจมัน ความทุกข์ต่าง ๆ และเราก็มักจะแก้มันด้วยวิธีที่ไม่มีประสิทธิภาพเอาเสียเลย.

ก็ในเมื่อเราใช้เวลาทั้งหมดหมกมุ่นไปกับงานที่ยังไม่เสร็จสิ้น หรือใช้เวลาจมอยู่กับความเครียดพร้อมกับเพื่อนร่วมงาน รวมถึงกังวลเรื่องอนาคตที่มันยังมาไม่ถึง การทบทวนรอบสองในการตัดสินใจว่าจะทำมันดีไหม และตอนนี้มีวิจัยหลากหลายชิ้นมากว่า เรามีความคิดอย่างไรกับการทำงาน เมื่อเราไม่ได้อยู่ในที่ทำงาน แต่เราก็มักจะครุ่นคิดอยู่แบบนั้นตลอดเวลา มันคือความคิดเดิม ๆ ความกังวลที่มันเข้ามาซ้ำแล้วซ้ำเล่า และยิ่งถ้าครุ่นคิดมากเท่าไร ก็จะทำให้นอนหลับยากมากขึ้นเท่านั้น แถมมักจะเลือกกินอาหารที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายด้วย รวมถึงจะมีอารมณ์ที่ไม่ค่อยดี เป็นสาเหตุให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดเช่นกัน หรือบางครั้งก็อาจจะเกิดความผิดปกติในร่างกายตามมาได้.

การทำงานในที่ทำงานอย่างเต็มที่แล้ว แต่เรายังรู้สึกเป็นปัญหาอยู่ บางครั้งก็ไม่สามารถไปวัดค่ากับครอบครัวหรือความสัมพันธ์ได้ ก็เพราะคนรอบข้างจะบอกให้เราออกจากที่ทำงานนั้น และคนอื่นก็มักจะบอกว่า เราน่าจะหมกมุ่นมากเกินไป อีกวิจัยนึงก็ได้บอกว่า ยิ่งเราครุ่นคิดเรื่องงานตอนอยู่บ้านมาก ก็จะมีอันตรายกับอารมณ์ความเป็นอยู่ แม้ว่าความคิดอาจจะมีส่วนช่วยในการทำงานได้ แต่การคิดไม่สามารถใช้กับความตึงเครียดทางอารมณ์ได้ และที่สำคัญกว่านั้นคือ เราสามารถควบคุมมันได้.

ก็ในเมื่อเราสามารถเลือกได้ว่าจะตอบอีเมลตอนนี้ หรือรอจนกระทั่งเช้าก่อน แม้ว่าเราต้องการจะระดมความคิดเกี่ยวกับโปรเจกต์ที่ทำให้เราตื่นเต้นมากแค่ไหน แต่การครุ่นคิดก็มักจะเกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว มันมักจะมาตอนที่เราไม่อยากให้มันมา มันจะทำให้เรารำคาญแม้ตอนที่ไม่อยากรำคาญมัน และมันก็จะทำงานขึ้นมาในตอนที่เราพยายามไม่ให้มันทำงาน.

การจะหยุดการครุ่นคิดได้นั้นเป็นสิ่งที่ยากมาก เพราะว่าความคิดส่วนใหญ่มันเกิดจากงานที่ยังไม่เสร็จ มันเลยต้องทำอย่างเร่งด่วน และก็กังวลเกี่ยวกับอนาคตอย่างจับใจ ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานี้ การครุ่นคิดก็มักจะรู้สึกว่าสิ่งนี้มันสำคัญมาก แต่ในความเป็นจริง เรามักจะทำอะไรที่อันตรายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และเราก็จะทำแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ โดยขาดการตระหนักรู้ใด ๆ.

กลับไปตอนที่เขาหมดไฟ เขาตัดสินใจเก็บงานเขียนของเขาเอาไว้เป็นอาทิตย์ และพวกงานเอกสารต่าง ๆ ที่เขาตั้งใจว่าจะหยุดทำมันตามเวลาที่เขาได้ครุ่นคิดถึงมัน และเขาก็ค้นพบว่ามันเป็นเรื่องไม่ดี ในท้ายที่สุดแล้ว เขาใช้เวลากว่า 30 นาทีที่เขาพยายามจะนอนหลับให้ได้ ซึ่งทั้งหมดในอาทิตย์นั้นเขาใช้เวลาไปเกือบ 14 ชั่วโมง มันเป็นเวลาช่วงขาลงของความรู้สึกเขา และเขาก็ได้คำตอบว่า การหยุดการเขียนงานไม่ได้ทำให้เขาหมดรักงานนี้ไป แต่การครุ่นคิดถึงงานเหล่านั้นต่างหาก ที่ทำให้รู้สึกแย่กับการทำงานนี้ และมันก็ทำลายชีวิตส่วนตัวด้วยเช่นกัน.

หลังจากนั้นเขาก็ได้อ่านงานวิจัยหลากหลายชิ้น เพื่อที่จะไปต่อกรกับการครุ่นคิดในความคิดของเขา แต่มันก็แน่นอนว่านิสัยเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก มันต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวด ในการจะเห็นการครุ่นคิดในแต่ละรอบได้ และความมั่นคงทำให้นิสัยนั้นคงอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งสุดท้ายเขาก็ได้รับชัยชนะในศึกครั้งนี้ รวมถึงเขาก็จะบอกวิธีการเอาชนะการครุ่นคิดนั้นทำอย่างไร.

สิ่งแรกเลยคือ การกำหนดขอบเขตให้ชัดเจน เพราะระหว่างทำงานอยู่จะไม่สามารถเห็นการครุ่นคิดได้เลย เขาใช้กฎที่เขาสร้างขึ้นมาโดยการที่เขาจะหยุดทำงานทุกอย่างตอนเวลา 2 ทุ่มตรงทุกวัน และต้องบังคับให้ตัวเขาเองทำแบบนี้ด้วย แล้วก็จะมีหลายคนตั้งคำถามว่า เขาทำได้จริง ๆ เหรอ กับการไม่ตอบอีเมลใครสักคนเลยหลัง 2 ทุ่ม และการที่จะไม่ดูมือถือเลยแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งเขาก็ยืนยันว่า เขาไม่ได้ทำแม้แต่ครั้งเดียว ก็เพราะในยุค 90s เราก็ไม่มีสมาร์ทโฟนใช้กันไม่ใช่เหรอ.

การครุ่นคิดมันเป็นสิ่งที่ยากจะลบล้างออกไปในสมอง ก็ในเมื่อมันมักจะบุกเข้ามาในสมอง เหมือนกับ Trojan Horse ในมือถือเรา และมันก็แฝงอยู่ในนั้น การใช้มือถือในวันหยุดก็เหมือนกับเราโดนฆ่าโดยการครุ่นคิด เรามักจะทำงานในวันหยุดทั้ง ๆ ที่เราควรจะปิดการแจ้งเตือน แค่ปิดมันแค่นั้น และถ้ามันมีเหตุจำเป็นจริง ๆ คุณก็สามารถจับมือถือได้นะและขอแค่จำเป็นจริง ๆ มือถือไม่ใช่ทางเดียวที่จะเพิ่มการครุ่นคิดให้มากขึ้น ทว่า การสื่อสารได้เพิ่มขึ้นถึง 115% ในทศวรรษที่ผ่านมา และมันถูกคาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นสูงต่อไปอีก สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราสูญเสียขอบเขตทางกายภาพไป ในระหว่างการทำงานและการอยู่บ้าน แล้วมันจะหมายความว่าการครุ่นคิดจะถูกกระตุ้นได้จากที่ใดก็ได้ในบ้านของเราเอง.

เมื่อไรก็ตามที่เราขาดขอบเขตทางกายภาพ ในระหว่างการทำงานและการอยู่บ้าน เราจะสร้างภาพของจิตขึ้นมาอย่างหนึ่ง เราจะหลอกความคิดเราว่า การกำหนดว่าสิ่งนี้คืองาน สิ่งนี้ไม่ใช่งาน เวลา และพื้นที่ ซึ่งวิธีแก้ก็คือ อย่างแรกเลยคือสร้างพื้นที่สำหรับการทำงานที่บ้าน แม้ว่ามันจะเป็นพื้นที่เล็ก ๆ ก็ตาม และพยายามทำงานแค่ตรงที่นั้นอย่างเดียว พยายามอย่าทำงานที่ห้องรับแขก ตรงโซฟา หรือที่เตียงนอน ก็เพราะพื้นที่เหล่านั้นมันจะเชื่อมโยงระหว่างที่พัก กับที่นอน ถัดมาเมื่อคุณทำงานที่บ้าน ให้คุณใส่ชุดเฉพาะเวลาคุณทำงาน และเมื่อถึงเวลาพักผ่อนก็เปลี่ยนเสื้อผ้านั้น รวมถึงใช้เพลงและแสงไฟ เพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมจากการทำงานเป็นอยู่บ้าน.

สิ่งที่เขาอธิบายขั้นตอนข้างต้นมา มันอาจจะฟังดูไม่น่าเป็นไปได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันเป็นแบบนั้นอยู่ตลอดเวลา เราอาจจะคิดว่าทุกอย่างมันคือการสุ่มความเชื่อมโยงกัน แต่มันไม่ใช่แบบนั้นทั้งหมด ก็เพราะสมองนั้นฉลาดแต่ความรู้สึกนั้นโง่ เขาหมายถึงว่าทำไม Pavlov’s dog ถึงน้ำลายไหลตอนได้ยินเสียงกระดิ่งล่ะ และทำไมคนที่พูด TED ถึงเหงื่อท่วมตอนที่เห็นวงกลมสีแดง สิ่งที่เขาอธิบายมามันพอช่วยได้ แต่การครุ่นคิดก็ยังคงบุกมาเหมือนเดิม ด้วยการเปลี่ยนวิถีทางให้กลายเป็นการสร้างประสิทธิภาพจากความคิดมากขึ้น อย่างเช่น การแก้ไขปัญหา เป็นต้น.

เหมือนคนไข้ของเขาที่ชื่อว่า Sally เธอได้รับโอกาสที่ดีมากมาย แต่ก็ต้องแลกบางสิ่งไปเสมอ ก็ในเมื่อเธอไม่สามารถไปรับลูกสาวที่โรงเรียนได้ทัน และสิ่งนี้ทำให้เธอใจสลาย หลังจากนั้นเธอก็ได้คิดแผนการขึ้นมาว่า ในทุกวันอังคาร และพฤหัสบดี เธอจะออกงานก่อนถึงเวลาเพื่อที่จะไปรับลูกสาวที่โรงเรียน โดยที่จะเล่นกับลูก ดูแลลูก อาบน้ำให้ และส่งลูกเข้านอน แต่หลังที่เธอได้ส่งลูกเขานอนแล้ว เธอก็ได้กลับไปทำงานของเธอยันเที่ยงคืน เพื่อจะทำงานที่คั่งค้างให้เสร็จ และเรื่องของ Sally ก็เป็นตัวอย่างแค่การครุ่นคิดเท่านั้นที่แสดงออกมาให้เห็น แล้วเธอก็ได้ใช้เวลาทั้งหมด ไปกับการครุ่นคิดเรื่องงานที่เธอต้องทำ ในขณะที่เธออยู่กับลูกไปด้วย.

ซึ่งการครุ่นคิดที่ว่า “เรามีงานมากมายที่ต้องทำ” มันก็ดูเหมือนเป็นเรื่องทั่วไปสำหรับทุกคน มันดูเหมือนไร้สาระ แต่มันก็ก่อเกิดอันตรายได้เหมือนกัน การครุ่นคิดมันไม่ได้เกิดในที่ทำงานเลย กลับกันมันจะเกิดขึ้นต่อเมื่อเราต้องการจะผ่อนคลาย หรือว่าหาอะไรที่มีความหมายทำ อย่างเช่น การเล่นกับเด็ก ๆ หรือว่าการนัดเดตกับคู่ครองของเรา.

การจะแก้ปัญหาการครุ่นคิดได้ ก็ต้องเริ่มจากการจัดลำดับให้ความคิดก่อน อย่างเช่น “ตอนไหนที่ตารางชีวิตจะสามารถจัดการกับงานที่มันเป็นปัญหากับฉันได้” หรือ “อะไรที่ฉันสามารถย้ายตารางชีวิตไปได้ เพื่อที่มีเวลาเพียงพอในการทำสิ่งเร่งด่วนนี้” หรือแม้ “เมื่อฉันมีเวลา 15 นาที ฉันจะทำตามตารางชีวิตของตัวเอง” สิ่งเหล่านี้จะทำให้ปัญหาถูกแก้ไขได้.

การต่อกรกับการครุ่นคิดเป็นสิ่งที่ยาก แต่ถ้าเรากำหนดขอบเขตอย่างชัดเจน ถ้าเราสร้างวิธีการเปลี่ยนแปลงจากที่ทำงานเป็นที่บ้าน และถ้าเราฝึกฝนตัวเองที่จะเปลี่ยนวิถีการครุ่นคิด ไปสู่การมีประสิทธิภาพจากความคิดได้ คุณก็จะสามารถประสบชัยชนะได้ การกำจัดการครุ่นคิดออกไปได้นั้น เป็นสิ่งที่เสริมพลังให้กับชีวิตของเขาอย่างมาก แต่มันจะยิ่งดีขึ้นไปอีก ถ้าได้เพิ่มการเพลิดเพลินไปกับการทำงานอย่างแท้จริง และความเชื่อที่ว่าการที่จะไม่ลงทุนทำอะไรเลยแล้วจะทำให้มีชีวิตที่สมดุล มันเป็นไปไม่ได้หรอก ซึ่งการจะทำให้ชีวิตดีขึ้นได้ ก็ต้องมาจากหนทางของความคิดที่ดีเท่านั้น ถึงจะเป็นทางออกของปัญหาได้.

การครุ่นคิดในการทำงานตลอดเวลา จะทำให้ชีวิตขาดสมดุลอย่างแท้จริง

Guy Winch

สามารถซื้อหนังสือได้ที่

Amazon
Books Kinokuniya