เมื่อชีวิตเริ่มมาย้ำเตือนเราว่า การขาดความสมดุลนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับความล้มเหลว และความผิดพลาด ก็ในเมื่อความสมดุลนั้นคือสิ่งของที่ทุกสรรพสิ่งจะต้องดำรงอยู่ให้จงได้ หากขาดเพียงนิดเดียว ก็จะขาดความสมดุลไป แล้วไอความสมดุลมันเกี่ยวข้องกับชีวิตของเรายังไงล่ะ มันมีความสำคัญขนาดนั้นเชียวหรือ ดูเหมือนว่าคนจำนวนมากอาจจะยังขาดการตระหนักรู้ในเรื่องนี้อยู่เยอะมาก ๆ มันก็เลยกลายเป็นว่าโลกที่เราทุกคนใช้ชีวิตอยู่นั้น ปราศจากความเข้าใจซึ่งกันและกันอย่างแท้จริงไป.
หยินและหยาง
ในโลกนี้ย่อมมีสองสิ่งเกิดขึ้นมาคู่กันเสมอ ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิง ขาวกับดำ สว่างกับมืด ฯลฯ สรรพสิ่งทั้งหมดทั้งมวลในโลกใบนี้ย่อมอาศัยทั้งสองสิ่ง เพื่อเสกสรรและปั้นแต่งเข้าด้วยกันอย่างประณีต และงดงาม เสมือนว่าทุกอย่างล้วนเกิดมาเพื่อให้เรานั้นได้เสพสุขอย่างนิรันดร์ แต่บางทีเราก็กลับเพิกเฉยกันไปว่า ก็ในเมื่อมีทั้งสองสิ่งก็ใช่ว่าเราจะเจอแต่สิ่งที่ดีโดยส่วนเดียว แต่บางทีเราก็กลับพบเจอกับสิ่งที่ไม่ดีด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการประสบพบเจอปัญหาในชีวิตอย่างหลากหลายแง่มุม หรือว่าจะเป็นอุปสรรคที่เข้ามาหาเราทุกเมื่อเชื่อวัน.
หากขาดการประจักษ์แจ้งว่า โลกใบนี้นั้นคือสองสิ่งที่เกิดมาคู่กัน ไม่มีทางที่จะแยกออกจากกันไปได้เลย เราทุกคนก็จะเข้าใจต่อไปว่า การที่เราอยู่ร่วมโลกใบนี้ เราก็ควรจะทำสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ให้แก่กันและกันบ้างสิ ก็เพราะการที่มีคนที่ดี ก็ย่อมมีคนที่ไม่ดีเสมอ หรือนี่ก็คือความสมดุลอีกเช่นกัน หลายคนกำลังก่นด่าสังคม ครอบครัว เพื่อน พี่น้อง และแฟน ด้วยเหตุผลที่เข้าข้างตัวเองว่า ก็เราไม่ชอบคนที่ไม่ดี เราก็ไม่จำเป็นต้องทำดีกับคนเหล่านั้น ทว่า คนที่ดีย่อมเข้าใจดีว่า คนที่ไม่ดีนั้นเกิดมาเพื่อสิ่งใด และคำตอบอาจจะง่ายกว่าที่เราคาดไม่ถึงก็ได้ เพียงเพราะเขามาทำให้เราเข้าใจแค่นั้น.
ทวิลักษณ์
การพบเจอความสุขก็ย่อมพบเจอความหมดไปของความสุข ของแบบนี้ใคร ๆ ก็เรียนรู้กันได้ แต่หากเราเจอความทุกข์ล่ะ เราจะเข้าใจมันจริง ๆ ไหม ทำไมผู้คนมากมายกลับเสียเวลาไปสาปแช่งผู้อื่น ราวกับว่าเขาเหล่านั้นทำให้เราพบเจอแต่สิ่งแย่ ๆ แต่ความเป็นจริงนั้นเราหารู้ไม่ว่า ทุกอย่างก็เกิดตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่ว่าจะมีใครมาทำร้ายเราได้จริงซะเมื่อไหร่ การเรียนรู้จากคนที่ไม่ดี คือคุณสมบัติของทวิลักษณ์ ที่เราจะค่อย ๆ นำเหตุการณ์แต่ละแง่มุมของชีวิต มาพิจารณาอย่างแยบคายว่า สิ่งนี้ดีเพราะอะไร หรือสิ่งนี้ไม่ดีเพราะอะไร เพื่อที่จะแยกแยะออกจากกันว่า เราควรเลือกสิ่งใดในการดำเนินชีวิต.
สังคมเป็นมวลรวมของค่าเฉลี่ยความคิดของคนในสังคม หมายความว่าการมัวแต่ไปนั่งตามสังคมไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ คนทุกคนในสังคม ควรจะมีครรลองชีวิตอย่างชัดแจ้ง อย่างเช่น ประพฤติอยู่ในธรรม ไม่ทำตามสิ่งที่ไม่สมควรทำ และควรจะใช้ปัญญาคิดวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ ที่สังคมนั้นดำเนินอยู่ ณ ขณะนี้ด้วย หากเราสามารถแยกแยะสิ่งที่ดีได้ ก็ถึงวันที่สังคมก็จะเปี่ยมไปด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และโอบอ้อมอารีซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง และกลับกันถ้าหากว่าสังคมไม่สามารถแยกแยะว่าสิ่งใดดี หรือสิ่งใดไม่ดีได้ สังคมก็ถึงความฉิบหายชั่วกัลปาวสาน ก็เท่านี้เอง.
โลกนี้สมดุลอยู่แล้ว
ความสมดุลของโลกเกิดขึ้นมาก่อนเราทุกคน และเกิดขึ้นมาก่อนที่จักรวาลนี้จะอุบัติขึ้นมาด้วยซ้ำไป สิ่งที่สมดุลมักจะเกิดพลังมหัศจรรย์เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีต่าง ๆ ก็ล้วนแต่เกิดจากสมการที่สมดุลทั้งนั้น หากไม่มีสมการที่สมดุล ผลลัพธ์ก็ย่อมผิดแผกไป ไม่เหมือนเดิมตลอด รวมถึงชีวิตก็เฉกเช่นเดียวกัน โดยปกติแล้วจิตนั้นสมดุลอยู่แล้ว แต่หากว่ามีกิเลสจรเข้ามาทำให้เกิดความไม่สมดุลเข้า มันก็เลยกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปอยู่อย่างนี้ การจะทำให้จิตนั้นกลับไปสู่สภาวะสมดุลได้ก็มีแค่หนทางเดียว คือเชื่อมต่อกับธรรมชาติให้ได้ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน.
อนึ่ง การหลอมรวมกับโลกไม่ใช่เป็นสิ่งที่ทำได้โดยง่าย ก็ในเมื่อมีสิ่งที่หลอกล่อให้เราไม่อยากสมดุล ไม่ว่าจะเป็นความคิดของตัวเราเอง สภาพแวดล้อมที่เราอยู่อาศัย รวมถึงปัจจัยที่เกื้อหนุนให้เข้าใจสภาวะตามความเป็นจริงนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก คำแนะนำที่ง่ายที่สุดก็คือ หัดสังเกตสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเราเอง และอย่าพยายามเชื่อคำพูดใครโดยง่าย แต่ทุกครั้งที่ได้ยิน และได้ฟังอะไรมา ก็ควรที่จะนำคำนั้นมาพิจารณาอย่างแยบคายจริง ๆ การสังเกตธรรมชาติจะทำให้เราได้เรียนรู้ในเรื่องของสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ และรู้จักฟังเสียงสัญญาณต่าง ๆ รอบตัวของเรา เพื่อที่จะใช้สัญญาณนั้นเป็นตัวนำทางของชีวิต.
ผู้คนนั้นกลับกลอกไปมา
ตราบใดที่คนเรายังมีกิเลส ตราบนั้นคนเราก็ยังกลับกลอกไปมา หาแก่นสารสาระใด ๆ ได้ไม่ การจะนำบุคคลนั้นมายึดถือโดยขาดการพิจารณา นี่อาจจะเป็นต้นธารของความเลวร้ายในชีวิตก็เป็นได้ สิ่งที่ควรมีในตนเองอย่างยิ่งก็คือ ปัญญา ก็เพราะปัญญานำความสำเร็จมาให้ ไม่ว่าจะเป็นเบื้องต้น ท่ามกลาง และบั้นปลาย ปัญญาเป็นตัวชี้วัดทุกสิ่งที่พานพบว่า สิ่งนี้ควรนำไปใช้หรือไม่ อย่างไร แล้วยิ่งยุคสมัยนี้การจะไว้ใจใครสักคนจึงเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย แต่ก็มิได้จะสื่อว่า มิได้มีบุคคลใดเลยที่น่าเชื่อถือ แต่กลับมาย้ำเตือนว่า การจะเชื่อใคร ไว้ใจใครนั้นจะต้องคิดให้ละเอียดลออและรอบคอบจริง ๆ.
ทั้งนี้ การที่จะไปนั่งด่าว่าคนที่ไม่ดีจึงเป็นเรื่องของคนเขลาเบาปัญญากันไป เหตุผลที่แท้จริงก็คือเรานั้นไม่มีปัญญาที่จะไปแยกแยกได้เองเสียมากกว่าว่า อย่าไปเสียเวลาก่นด่าคนเหล่านั้นเลย ก็เพราะว่ามีคนที่กลับกลอกมิใช่หรือ ที่ทำให้เราได้รู้ว่า เราจะไม่กลับกลอกได้อย่างไร และเราจะเป็นผู้ที่มั่นคงในพระสัทธรรมได้ด้วยวิธีใด โลกนี้ยังคงต้องการคนที่มีจุดยืน รวมถึงต้องการคนที่มีความศรัทธาในความดีอย่างมหาศาล สิ่งต่าง ๆ รอบตัวเรามักจะดึงรั้งไม่ให้เราได้ทำความดี แต่ถ้าเรามีปัญญาเพียงพอ ความกลับกลอกนั้นก็ย่อมมลายหายไปในที่สุด.