วิธีสงบสติอารมณ์เวลาที่คุณกำลังเจอกับความเครียด

วิธีสงบสติอารมณ์เวลาที่คุณกำลังเจอกับความเครียด

ความคิดเห็นต่อการบรรยาย

Levitin ได้เกริ่นว่า เมื่อไม่กี่ปีก่อนเขาเพิ่งได้พังบ้านของเขาเอง วันหนึ่งเขาก็ได้ขับรถกลับบ้านตามปกติ มันอยู่ในช่วงฤดูหนาวที่เงียบเชียบในเมือง Montreal ก่อนหน้านี้เขาได้ไปเจอเพื่อนที่ชื่อ Jeff และเทอร์มอมิเตอร์ก็วัดอุณหภูมิได้ -40 องศา ต่อมาเขาก็ได้ยืนอยู่หน้าระเบียงและได้ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงด้วย ตอนนั้นเขาก็พบว่าเขาไม่เจอกุญแจบ้านของเขา.

ในความจริงแล้ว เขาสามารถเห็นมันผ่านทางหน้าต่างได้เลย ซึ่งมันวางไว้อยู่บนโต๊ะอาหาร ที่เขาได้ลืมมันเอาไว้ ต่อมาเขาก็ร้อนรนที่จะพยายามหาทางเข้าประตูและหน้าต่างให้ได้ ทว่า ทุกอย่างทั้งประตูและหน้าต่างถูกล็อกหมดเลย.

เขาก็เลยนึกขึ้นได้ว่าควรจะโทรหาช่างทำกุญแจ เพราะอย่างน้อยเขาก็ยังมีโทรศัพท์อยู่ แต่ว่ากลางดึกตอนเที่ยงคืน มันก็จะต้องใช้เวลาสักพักนึงในการที่จะให้ช่างกุญแจเดินทางมาซ่อม ซึ่งตอนนั้นมันหนาวมาก ๆ ที่สำคัญกว่านั้นเขาไม่สามารถกลับไปหาบ้านเพื่อนที่ชื่อ Jeff ได้ ก็เพราะเขามีเที่ยวบินตั้งแต่เช้าตรู่ไปยังยุโรป และเขาก็ยังต้องใช้พาสปอร์ต รวมถึงกระเป๋าเดินทางด้วยเช่นกัน.

ด้วยความหนาวเหน็บอยู่สักพัก เขาเจอก้อนหินอันใหญ่ และก็ได้ปามันไปยังหน้าต่างชั้นใต้ดิน ต่อมาเขาก็ทำการเก็บกวาดเศษแก้ว รวมถึงคลานเข้าไปและเขาก็พบว่ามีการ์ดบอร์ด และเทปอยู่ด้านบน พอรุ่งเช้าเขาก็ได้ไปยังสนามบิน และก็โทรหาผู้รับเหมาเพื่อให้ไปซ่อมบ้านของเขา ซึ่งแน่นอนว่ามันก็ค่อนข้างแพงสำหรับการซ่อมบ้าน แต่จริง ๆ แล้วไม่มีอะไรแพงไปกว่า ช่างกุญแจมาตอนกลางดึกหรอกนะ.

เขาก็ได้คิดว่า ภายใต้สถานการณ์แบบนั้น เขายังสามารถที่จะแก้ไขปัญหาได้อยู่เหมือนกัน ณ ปัจจุบันนี้เขาได้เป็น Neuroscientist โดยการฝึกสอน และเขาก็พอรู้มาบ้างในการที่จะทำอย่างไรให้สมองนั้นทำงานได้อย่างดีเยี่ยม เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ตึงเครียด สมองจะหลั่งสาร Cortisol ทำให้อัตราการเต้นหัวใจสูงขึ้น ต่อมาก็จะปรับระดับ Adrenaline ในร่างกาย ซึ่งมันจะส่งผลให้ความคิดถูกปกคลุมเอาไว้.

หลังจากที่ตื่นนอนในตอนเช้า เมื่อตอนที่เขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับการนอนเพียงเล็กน้อย แถมยังกังวลเรื่องเกี่ยวกับช่องหน้าต่างที่เขาได้พังมันเข้ามาอีก รวมทั้งหมายหัวเอาไว้อีกว่าจะต้องติดต่อกับผู้รับเหมา และแน่นอนว่ามันก็หนาวเอามาก ๆ ในตอนนั้น หลังจากที่เขาถึงยุโรปแล้ว เขาก็รู้ว่าร่างกายเริ่มหลั่งสาร Cortisol ในสมองเขา ความคิดเขาถูกปกคลุมไปหมด ทว่า เขาไม่มีทางรู้ได้หรอกว่าความคิดเขาถูกปกคลุม เพราะความคิดเขากำลังถูกปกคลุมอยู่ และต่อมาเหตุการณ์ที่มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จนกระทั่งเขาพบว่าตอนเช็กอินในสนามบิน เขารู้ตัวว่าเขาลืมพาสปอร์ตของเขา.

พอรู้ตัวแล้ว เขาก็ได้รีบขับรถกลับไปที่บ้านพร้อมกับหิมะตก ด้วยเวลาภายใน 40 นาที หยิบพาสปอร์ตมา และขับรถกลับไปยังสนามบินอีกครั้ง ซึ่งก็สามารถทำเวลาได้ทันพอดี แต่เหมือนกับว่าที่นั่งของเขาได้ถูกคนอื่นนั่งแทนไปแล้ว แต่เขาก็ได้ย้ายที่นั่งไปยังท้ายเครื่องบิน ใกล้ ๆ กับห้องน้ำ และมันก็เป็นที่นั่งที่ไม่สามารถปรับเบาะที่นั่งได้ อีกทั้งบนเที่ยวการบินตั้ง 8 ชั่วโมง มันยอดเยี่ยมไปเลย ที่เขาจะมีเวลาคิดหาทางออก ระหว่าง 8 ชั่วโมงนี้.

เขาก็ได้เริ่มสงสัยว่าอะไรที่เขาสามารถทำได้ ระบบที่เขาสามารถวางแบบแผนไว้ได้ ทั้งสามารถป้องกันสิ่งเลวร้ายไม่ให้เกิดขึ้นมาได้อีก หรือว่าอย่างน้อย ถ้าสิ่งที่เลวร้ายเกิดขึ้นมา มันจะทำให้มีโอกาสในการเกิดวิกฤตลดน้อยลง หลังจากนั้นต่อมาเขาก็ยังไม่เจอทางออก แต่ว่าความคิดของเขาเริ่มตกผลึกหลังจากนั้น ณ ขณะที่เขารับประทานอาหารค่ำกับเพื่อนร่วมงานของเขาที่ชื่อ Daniel Kahneman ซึ่งได้รับรางวัลโนเบล และเขาก็รู้สึกอายที่จะเล่าให้เพื่อนร่วมงานฟังว่า เขาเพิ่งได้พังหน้าต่างที่บ้านมา มิหนำซ้ำยังลืมพาสปอร์ตอีกด้วย.

ซึ่งเพื่อนร่วมงานของเขาคนนี้ก็ได้แบ่งปันบางสิ่งที่เรียกว่า การตระหนักรู้ถึงปัญหานั้น ๆ เมื่อมองย้อนกลับมา ซึ่งเพื่อนร่วมงานเขาก็ได้มาจากนักจิตวิทยาที่ชื่อว่า Gary Klein และเป็นคนที่เขียนคำนี้มาหลายปีก่อนหน้านี้แล้ว รวมถึงเราจะเรียกคำนี้ว่า Pre-mortem ณ ตอนนี้ทุกคนน่าจะรู้อยู่แล้วว่าหลังจากที่ผ่านพ้นเหตุการณ์ไปแล้วจะเป็นอย่างไร เมื่อตอนที่เราเจอภัยพิบัติต่าง ๆ แล้วก็มีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ เข้าไปยังพื้นที่นั้น เพื่อคิดหาทางออกว่าอะไรคือปัญหาที่แท้จริง.

ทว่า Pre-mortem ตามที่เพื่อนร่วมงานของเขาได้อธิบายไว้ก็คือ คุณได้มองไปยังข้างหน้าและคุณก็พยายามหาหนทางออก รวมถึงอะไรเป็นสิ่งที่จะสามารถทำให้ความผิดพลาดนั้นเกิดขึ้นมาได้ ต่อมาคุณพยายามที่จะคิดว่า คุณสามารถทำอะไรได้บ้างในตอนนี้ เพื่อที่จะยับยั้งให้สิ่ง ๆ นั้นเกิดขึ้นมา หรือว่าทำให้ความเสียหายลดลงมากที่สุดเท่าที่ทำได้.

สิ่งที่เขาอยากจะมาพูดคุยในวันนี้คือ บางสิ่งที่เราจะสามารถทำได้ในรูปแบบของ Pre-mortem บางคนอาจจะทำได้อย่างชัดเจน และบางคนอาจจะไม่สามารถทำได้อย่างชัดเจนก็ได้ เขาจะเริ่มที่อย่างแรกคือ ให้คุณดูในรอบ ๆ บ้านของคุณ ให้ระบุตำแหน่งที่ของจะหายได้อย่างง่ายดายเอาไว้ แต่แน่นอนว่ามันก็ดูเหมือนจะเป็นความคิดทั่ว ๆ ไป แต่ย้อนกลับไปในวิทยาศาสตร์บนพื้นฐานที่ช่องว่างของความทรงจำจะทำงานได้นั้น มันจะมีโครงสร้างนึงในสมองที่เรียกว่า Hippocampus ซึ่งได้มีการวิวัฒนาการมาแล้วกว่า 10-1,000 ปีก่อนที่ทำหน้าที่จดจำรายละเอียดสถานที่ตั้งของสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนดี ที่ไหนจะสามารถหาปลาได้บ้าง ที่ไหนเป็นที่ตั้งของผลไม้ และที่ไหนจะเป็นที่อยู่ของพรรคพวกและพวกศัตรูอาศัยอยู่บ้าง.

สมองส่วน Hippocampus ในคนขับรถแท็กซี่จะมีขนาดใหญ่มากกว่าปกติ มันคือส่วนของสมองที่ทำให้กระรอกสามารถหาถั่วได้ และถ้าคุณสงสัยว่า การที่บางคนสามารถทำการทดลองนั้นได้ ที่เป็นการตัดการรับรู้กลิ่นของกระรอก แต่พวกมันก็ยังคงสามารถหาถั่วได้เหมือนเดิม เพราะว่ามันไม่ได้ใช้กลิ่นตามหา แต่มันใช้สมองส่วน Hippocampus แล้วส่วนนี้แหละถูกวิวัฒนาการอย่างยิ่งยวด ที่ทำหน้าที่ให้กับสมองเพื่อจะค้นหาสิ่งต่าง ๆ เจอ แต่ว่ามันจะดีกว่าไหม ถ้าสิ่ง ๆ นั้นมันไม่ได้เคลื่อนย้ายไปไกลมาก และมันก็ไม่ได้เป็นผลดีกับของที่มันสามารถเคลื่อนที่ได้.

แล้วนี่จึงเป็นเหตุผลนึงว่า ทำไมเราถึงชอบหาพวกกุญแจรถ แว่นอ่านหนังสือ และพาสปอร์ตไม่เจอ ซึ่งในบ้านนั้นการจะระบุตำแหน่งของกุญแจก็ต้องทำให้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นที่แขวนตรงประตู หรืออาจจะถ้วยที่เราประดิษฐ์มันขึ้นมา สำหรับพาสปอร์ตก็ต้องใส่เอาไว้ในลิ้นชักนั้น ๆ ส่วนแว่นอ่านหนังสือก็ต้องวางเอาไว้บนโต๊ะนั้น ๆ ถ้าคุณสามารถระบุตำแหน่งเอาไว้ได้ และคุณใส่ใจมันหน่อย สิ่งนั้นก็จะอยู่ตรงนั้นเสมอ เมื่อไรก็ตามที่คุณต้องการที่จะมองหามัน.

แล้วสำหรับการเดินทางล่ะ ก็ให้คุณลองถ่ายรูปเครดิตการ์ดเอาไว้ในมือถือ ใบขับขี่ และพาสปอร์ต ส่งไปยังอีเมลของคุณ หรือฝากไฟล์เอาไว้ใน Cloud ถ้าหากว่าหายไป หรือถูกขโมยไป คุณก็ยังสามารถทำมันขึ้นมาใหม่ได้ไม่ยาก แล้วสิ่งเหล่านี้เป็นความชัดเจนของสิ่งของ จงจำไว้ว่า เมื่อไรก็ตามที่คุณเผชิญหน้ากับความเครียด สมองคุณจะหลั่งสาร Cortisol ซึ่งสารนี้จะเป็นพิษต่อร่างกาย และมันทำให้เกิดการปกคลุมทางความคิดขึ้นมา.

ซึ่งในส่วนของการฝึกฝน Pre-mortem นั้น มันคือการจดจำว่าความเครียดที่คุณกำลังเผชิญอยู่นั้นจะไม่เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมเสมอไป คุณจึงต้องวางระบบให้มัน และบางทีการที่ไม่มีสถานการณ์ตึงเครียดเกิดขึ้น จนกระทั่งเมื่อคุณต้องเผชิญหน้ากับแพทย์ที่กำลังวินิจฉัยโรคคุณอยู่ และในบางจุด เราทุกคนก็ล้วนแต่ต้องไปยังจุดนั้นด้วยกันทั้งนั้น ณ ตอนที่เราต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสุขภาพในอนาคต หรือสุขภาพของคนที่เรารักก็ตามแต่ ซึ่งเราอาจจะต้องช่วยพวกเขาในการตัดสินใจด้วย.

แล้วเขาก็ต้องการที่จะพูดเกี่ยวกับสิ่งนี้ ซึ่งเขากำลังจะพูดถึงทางการแพทย์โดยเฉพาะ แต่ว่ามันก็เหมือนตัวแทนของทุกคนในการที่แพทย์จะตัดสินใจว่าเป็นอย่างไร และมันก็รวมถึงสำหรับการตัดสินใจทางการเงินและการตัดสินใจเข้าร่วมสังคมนั้นว่า จะได้รับประโยชน์ของการมีเหตุมีผลจากการประเมินของความเป็นจริงที่จะเกิดขึ้นมา.

สมมุติว่าคุณกำลังไปหาหมอ และหมอก็บอกกับคุณว่า “ผมเพิ่งได้ผลตรวจมา และคอเลสเตอรอลคุณค่อนข้างสูง” แล้ว ณ ตอนนี้สิ่งที่คุณรู้คือ คุณมีคอเลสเตอรอลที่สูงแล้ว มันจะเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงในการเป็นโรค Cardiovascular disease, Heart attack และ Stroke และคุณก็อาจจะกำลังคิดว่า การที่คอเลสเตอรอลสูงมันไม่ใช่สิ่งที่ดี หลังจากนั้นต่อมาหมอก็จะพูดกับคุณว่า “คุณรู้ไหมว่า คุณจะต้องทานยาเพื่อที่มันจะทำหน้าที่ช่วยคุณลดระดับคอเลสเตอรอลได้ มันคือยาที่ชื่อว่า Statin นะ”.

คุณรู้ดีอยู่แล้วว่า คนส่วนใหญ่นั้นจะได้รับการสั่งยาแบบกว้าง ๆ คุณรู้ว่าถ้าหากผู้คนทานยาเข้าไป แล้วคุณก็จะคิดว่า “ใช่เลย ส่งยา Statin มาให้ฉัน” แต่ว่าสิ่งที่คุณควรตั้งคำถามในจุดนี้คือ สถิติที่คุณต้องถามมันว่า หมอส่วนใหญ่มักจะไม่พูดถึงเกี่ยวกับมันและบริษัทเภสัชกรรมส่วนใหญ่ก็พูดถึงเรื่องนี้น้อยมาก มันคือเรื่องที่ว่าจำนวนที่ได้รับการรักษา ตอนนี้อะไรคือสิ่งที่เรียกว่า NNT ซึ่งมันก็คือจำนวนคนที่ต้องได้รับยา คนที่ได้รับการผ่าตัด หรือไม่ว่าจะเป็นกระบวนการทางการแพทย์ใด ๆ ก็ตามแต่ ก่อนที่จะมีคนใดคนหนึ่งสามารถหายจากโรคได้ และคุณก็คิดว่า สถิติบ้า ๆ อะไรกันเนี่ย จำนวนนั้นต้องเป็นหนึ่งเท่านั้น.

หมอของฉันไม่ได้สั่งยาอะไรให้ฉันเลย แต่ในความเป็นจริงแล้ว แพทย์ไม่ได้ถูกฝึกมาให้ทำแบบนั้น มันไม่ใช่ความผิดของหมอเลย ถ้าคนที่จะต้องรับความผิดนี้ก็ควรจะเป็นคนที่เป็นนักวิทยาศาสตร์อย่างเช่นเขาเอง เขาไม่ได้คิดถึงระบบอย่างถูกต้องเท่าที่ควร ทว่า บริษัท GSK คาดการณ์ไว้ว่า มากกว่า 90% ของยาจะได้ผลเฉพาะ 30-50% จากจำนวนคนทั้งหมด ซึ่งจำนวนที่รับการรักษาทั้งหมดจะเป็นการสั่งยาแบบกว้าง ๆ โดยใช้ยา Statin เป็นหลัก.

แล้วอะไรที่คุณจะคาดหวังถึงมันได้ล่ะ จำนวนคนที่ได้รับยาต่อหนึ่งคนนั้นถูกรักษาให้หายจะมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 300 คน โดยเป็นวิจัยของแพทย์ชื่อว่า Jerome Groopman และ Pamela Hartzband ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่ถูกยืนยันโดย Bloomberg.com ซึ่งเขาเองล่ะที่เป็นคนวิ่งเต้นเรื่องนี้ด้วยตัวของเขาเอง ก็เพราะ 300 คนที่ได้รับยารักษาในแต่ละปี ได้แก่ Heart attack, Stroke หรือเหตุการณ์ที่สวนกระแสต่อการยับยั้งต่าง ๆ.

แล้วในตอนนี้คุณก็อาจจะคิดว่า “เยี่ยมเลย 1 ใน 300 คน มีโอกาสที่จะลดระดับคอเลสเตอรอลได้” แล้วทำไมมันจะไม่ได้ล่ะหมอ สั่งยาให้ฉันเลยสิ ทว่า สิ่งที่คุณควรถามอีกสถิตินึงมากกว่าคือ แล้วนั่นคืออะไรล่ะ “บอกฉันหน่อยว่า อะไรคือผลข้างเคียงของยานี้” โดยเฉพาะยานี้ผลข้างเคียงของมันคือ ใน 5% ของคนไข้ จะประกอบไปด้วยสิ่งที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไร ไม่ว่าจะเป็น Debilitating muscle and Joint pain และ Gastrointestinal Distress.

แต่ตอนนี้คุณก็คงจะคิดไปว่า “จำนวน 5% คงไม่น่าจะเกิดขึ้นกับฉันได้หรอก ฉันต้องการที่จะทานยานั้นอย่างแน่นอน” แต่ช้าก่อน จงจำไว้ว่า ถ้าเราอยู่ในภาวะเครียดอยู่ คุณจะไม่สามารถคิดได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน ซึ่งคุณจะคิดเกี่ยวกับสิ่งที่คุณจะทำมันในเหตุการณ์ข้างหน้านี้ ซึ่งคุณจะไม่สามารถสร้างสายใยของเหตุผลไปยังจุดของปัญหาได้เลย ก็เนื่องจาก 300 คนที่ได้รับยา 1 คนที่สามารถรักษาหาย และ 5% ของ 300 คนนั้นจะมีผลข้างเคียงก็คือจำนวนทั้งหมด 15 คน ซึ่งคุณจะได้รับเป็นจำนวน 15 เท่าของการได้รับผลข้างเคียงของยา มากกว่าคุณจะรักษาหายจากยาด้วยซ้ำไป.

แล้วตอนนี้เขาไม่ได้ต้องการจะพูดว่า คุณควรจะทานยา Statin หรือไม่ แต่เขาเพียงแค่พูดว่า คุณควรที่จะสนทนากับหมอของคุณ เพราะแพทย์ควรจะมีจริยธรรมกับคนไข้ด้วย มันคือส่วนหนึ่งของกฎการยินยอม คุณมีสิทธิ์ในการรับรู้เกี่ยวกับข้อมูลทั้งหมด ที่จะเริ่มต้นสนทนาเกี่ยวกับสิ่งที่คุณได้รับยาเข้าไป ไม่ว่ามันจะส่งผลเสียหรือไม่ก็ตาม.

คุณอาจจะคิดว่า สิ่งที่เขากำลังนำเสมอมานี้เหมือนดึงมาจากอากาศ ไม่มีมูลเหตุใด ๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว แบบฉบับของจำนวนที่ได้รับการรักษาจริง ๆ สำหรับประสิทธิภาพของการผ่าตัดบนเพศชายที่อายุมากกว่า 50 ปีนั้น การผ่าตัดมะเร็งต่อมลูกหมากจะรักษาหายเป็นจำนวน 49 คน ซึ่งจำนวน 49 คนนั้นจะมี 1 คนที่รักษาหายจริง ๆ และผลข้างเคียงของกรณีนี้ปรากฏใน 50% ของคนไข้ทุกคนก็คือ Erectile dysfunction, Urinary incontinence, Rectal tearing และ Fecal incontinence และถ้าคุณโชคดี คุณคือคนเดียวของ 50% จากทั้งหมดที่จะกินระยะเวลาของการเป็นโรค ประมาณ 1 ปี ถึง 2 ปีแค่นั้น.

แล้วไอเดียของ Pre-mortem คือการคิดไปยังเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นของคำถามที่คุณสามารถที่จะถามมันได้ มันคือการที่คุณต้องสนทนาถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต คุณอาจจะไม่ต้องคิดถึงทุกกระบวนการของปัญหา และคุณก็ควรคิดถึงคุณภาพของชีวิตไว้ด้วย ก็เนื่องด้วยคุณมีทางเลือกอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการที่คุณเลือกจะมีชีวิตที่สั้นกว่าปกติ ไม่ต้องการที่จะเจ็บป่วย หรือมีชีวิตที่ยืนยาวได้ แต่มาพร้อมกับข้อเสนอที่ยอดเยี่ยมที่จะทำให้ความเจ็บปวดนั้นยาวไปถึงตอนจบชีวิต.

สิ่งเหล่านี้ที่เขาพูดถึงนั้น จำเป็นจะต้องคิด ณ ตอนนี้เท่านั้น พร้อมกับครอบครัวและคนที่คุณรัก คุณอาจจะต้องเปลี่ยนใจในช่วงเวลาที่เร่งรีบ แต่อย่างน้อยคุณก็ยังสามารถฝึกฝนด้วยการคิดได้เลย จงจำไว้ว่า สมองของเรานั้นเมื่อเวลาเผชิญกับความเครียด จะหลั่งสาร Cortisol และสิ่งหนึ่งที่จะเกิดขึ้น ณ ตอนนั้นคือ ระบบทั้งหมดจะถูกยุติลง แล้วการวิวัฒนาการก็สร้างมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ.

เมื่อคุณเผชิญหน้ากับผู้ล่า คุณไม่จำเป็นต้องใช้ระบบย่อยสลาย หรือความใคร่ แม้กระทั่งระบบภูมิคุ้มกันเลย ก็เพราะถ้าร่างกายคุณสูญเสียการเผาผลาญไปกับสิ่งเหล่านั้น และคุณไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็วมากพอ คุณอาจจะกลายเป็นอาหารเที่ยงของสิงโตไปก็ได้ และก็ไม่มีอะไรเลยที่สำคัญ มันเป็นสิ่งที่น่าเสียดายมากคือ สิ่งหนึ่งที่จะออกจากหน้าต่างเวลาเราเครียดคือการมีเหตุผลและความคิดที่ใช้ตรรกะ ดั่งที่เพื่อนของเขาและเหล่าเพื่อนร่วมงานได้แสดงให้เห็น.

เราทุกคนจะต้องฝึกฝนตนเอง ที่จะคิดไปยังเหตุการณ์ข้างหน้า จำลองสถานการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ขึ้นมาดู เขาคิดว่าสิ่งสำคัญคือจุดนี้ ก็เพราะว่าระบบความคิดของเราทุกคนนั้นมีข้อบกพร่องบางอย่างอยู่ เราทุกคนก็จะสามารถผิดพลาดได้ในตอนนี้ และต่อไปด้วยเช่นกัน ไอเดียก็คือคิดไปยังเหตุการณ์ข้างหน้าว่า อะไรบ้างที่จะทำให้เกิดการผิดพลาดได้บ้าง โดยการนำระบบใส่เข้าไปเพื่อช่วยลดความเสียหายลง หรือยับยั้งสิ่งที่เลวร้ายจากการที่มันจะเกิดขึ้นในตอนแรก.

ย้อนกลับไปในค่ำคืนอันหนาวเหน็บที่ Montreal เมื่อตอนที่เขาได้กลับมาจากการเดินทางแล้ว เขาก็ได้ติดต่อกับผู้รับเหมาที่จะรวมการล็อกประตู เข้ากับกุญแจเข้าด้วยกันไปเลย มันคือการทำให้ง่ายต่อการจดจำมากยิ่งขึ้น และเขาก็ได้รับมอบหมายว่า เขายังคงมีจดหมายอยู่กองพะเนินที่ยังไม่ได้จัดระเบียบกับมัน และมีอีเมลมากมายที่ยังไม่ได้เข้าไปอ่าน ซึ่งเขาก็ยังไม่ได้เข้าไปจัดการมันให้เสร็จสิ้นเสียที แต่เขาก็เห็นการจัดการเหมือนกับกระบวนการที่ค่อยเป็นค่อยไป แล้วเขาก็พร้อมเสมอที่จะเข้าไปจัดการมัน.

การคิดถึงเหตุการณ์ล่วงหน้าก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นมาจริง ๆ คือการเตรียมตัวที่ดีที่สุด

Daniel Levitin

สามารถซื้อหนังสือได้ที่

Amazon