เมื่อโลกมีความแตกต่าง เมื่อนั้นโลกย่อมมาบอกกับเราว่า การจะมองเห็นต่างจึงเป็นเรื่องธรรมดา การจะมีความรู้สึกที่แตกต่างจึงเป็นเรื่องธรรมชาติ และการมีชีวิตที่แตกต่างจึงเป็นเรื่องสามัญ หากเราไม่เข้าใจความแตกต่าง เราก็ย่อมไม่เข้าใจความเป็นธรรมดา เมื่อสิ่งใดเกิดขึ้นมาอีกสิ่งหนึ่งย่อมเกิดขึ้นตามมา มีขาวก็ย่อมมีดำ มีสุขก็ต้องมีทุกข์ และมีเกิดก็ต้องมีดับ เรื่องนี้เป็นสิ่งคู่โลก เหมือนธรรมชาติย่อมมาเพื่อให้เรายอมรับความไม่เหมือนกัน ความผิดแผกจากกัน ซึ่งเป็นการปรับตัวให้เข้ากัน แล้วมันเป็นไปเพื่อการอยู่รอดของธรรมชาติก็เท่านั้นเอง.
ปัญหาเกิดขึ้นเพราะการไม่ยอมรับความแตกต่าง
สังคมนั้นเกิดปัญหาขึ้นเพราะมีสิ่งต่าง ๆ ที่แตกต่างกันไป หากเราทุกคนเหมือนกันทั้งหมด มันก็อาจจะดีก็ได้ แต่สุดท้ายแล้วมันก็อาจจะไม่ใช่แบบนั้นก็ได้ หากโลกนี้มีแต่คนดีโลกนี้อาจจะไม่มีความเข้าใจสิ่งที่ไม่ดี สุดท้ายก็ไม่เกิดกระบวนการเรียนรู้ขึ้น และหากโลกนี้มีแต่คนไม่ดีโลกนี้อาจจะไม่มีความเข้าใจสิ่งที่ดี สุดท้ายก็ไม่เกิดกระบวนการเรียนรู้ขึ้นได้เช่นเดียวกัน ปัญหาย่อมเป็นปัญหาเพราะมุมมองต่อปัญหานั้นไม่ได้มีการมองมุมกลับ แต่ปัญหาย่อมเป็นทางออกเพราะมุมมองต่อปัญหานั้นได้มองมุมกลับ นี่คือความแตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างทางความคิด ทางเพศ หรือทางศาสนา ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เราจะต้องเรียนรู้.
เมื่อมีสิ่งใดแตกต่าง เราก็ย่อมต้องฝึกการน้อมรับ แล้วถ้าหากเราไม่ยอมฝึกใจน้อมรับ ความแตกต่างนั้นก็จะยิ่งถูกถ่างออกไปมากขึ้นเรื่อย ๆ ปัญหาก็ย่อมไม่คลี่คลาย มิหนำซ้ำมันยังจะสร้างรอยแตกร้าวให้มากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อเราอยู่ร่วมกันมากกว่า หนึ่งคนขึ้นไป การฝึกใจยอมรับความไม่เหมือนกันกับเราจึงจำเป็นต้องฝึกให้มากเข้าไว้ ไม่เช่นนั้นความสุขในชีวิตก็จะน้อยลง ความสุขในครอบครัวก็จะย่ำแย่มากขึ้น แถมส่งผลไปสู่ระดับสังคมต่อไปในภายภาคหน้าอีก ระดับของการเรียนรู้จะแตกต่างกันไปในแต่ละคน บางคนก็เรียนรู้ความแตกต่างได้เร็ว บางคนก็เรียนรู้ความแตกต่างได้ช้า ขึ้นอยู่กับการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์นั้น ๆ.
เมื่อสุขกับทุกข์เป็นสิ่งที่แตกต่างกัน
หากเรามองว่าสุขกับทุกข์ต่างกัน เมื่อนั้นเราจะทุกข์มาก เพราะมองว่าทุกข์คือสิ่งที่ไม่ดีและสุขคือสิ่งที่ดี หากมองว่าสุขคือทุกข์ที่น้อยลงแต่ทุกข์คือทุกข์ที่เพิ่มมากขึ้น การมองสิ่งใดตรงตามความเป็นจริง ปรับมุมมองให้เข้ากับสิ่งที่มันเป็นจริง ๆ จะทำให้เรามีความเห็นที่ถูกต้อง แล้วก็ทำให้ความถูกต้องอื่น ๆ ตามมาด้วยเช่นกัน ความแตกต่างในสุขและทุกข์จึงไม่ใช่แตกต่างกันจริง เพียงแต่ความรู้สึกของเรามันพยายามให้ไม่น้อมรับความจริงเท่านั้น จิตใจเลยพยายามหาข้อโต้เถียงว่าสุขมันจะไปเหมือนทุกข์ได้อย่างไรกัน ก็ในเมื่อมันให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน เปรียบเสมือนความเกิดก็ย่อมแตกต่างกับความดับ แต่จริง ๆ มันก็อาจจะเหมือนกันก็ได้.
ความไม่รู้เท่าทันความแตกต่างนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับความหลง เมื่อรู้คือรู้ชัด รู้ชัดในความแตกต่างของสรรพสิ่ง ว่ามันแตกต่างกันที่ตรงไหน ไม่ใช่สักแต่ว่าต่างเพราะรู้สึกต่างเพียงเท่านั้น หากมองกันให้ละเอียดลึกซึ้งย่อมมองว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเหมือนกันนั่นแหละ มันต่างเพียงอารมณ์เท่านั้นเพราะอารมณ์ก็คืออารมณ์ ความสุขก็คือความสุข ความทุกข์ก็คือความทุกข์ มันไม่เป็นอย่างอื่น นี่จะเรียกว่าเรียนรู้ความแตกต่างจริง ๆ ความรู้กับความไม่รู้ก็คือตัวรู้กับตัวหลง หากหลงไปแล้วรู้นั่นคือรู้ว่าจิตได้หลงไปในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง เมื่อรู้แบบนี้จึงเป็นการเข้าใจความรู้สึกในแต่ละวันที่จรเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ นานวันเข้าจะรู้สึกตัวมากยิ่งขึ้น.
จิตรู้ทันความแตกต่างของการเกิดขึ้น
การฝึกจิตให้รู้เท่าทันความแตกต่าง จึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งเพราะการฝึกจิตทำให้เห็นรายละเอียดของทุก ๆ สิ่ง วันใดเรารู้สึกแบบนี้เพราะอะไรกันแน่ หรือเราไม่รู้สึกแบบนี้เพราะอะไรกันแน่ ความแตกต่างที่ชัดเจนจะเกิดขึ้นภายในใจของเราเอง ไม่ได้เกิดขึ้นจากภายนอก หากเรายังมองว่าคนอื่นก็คือคนอื่นนั่นหมายถึงเรายังไม่รู้เท่าทันจิตของตัวเราเอง เราก็จะยิ่งหลงไปในเหตุการณ์ที่เข้ามากระทบจิตเรา แทนที่จะมองเห็นเป็นสิ่งที่เข้ามากระทบจิตกลับมองว่าสิ่งนั้นเข้ามากระทบเรา นี่ก็อาจจะหมายถึงเราไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่าง รู้ทันกับเข้าไปเป็นก็เป็นได้ การจะฝึกจิตฝึกใจเรียนรู้ความแตกต่างจึงจำเป็นอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันนี้.
เมื่อความเกียจคร้านเกิดขึ้น เราก็จำเป็นต้องตามดูจิตไปเรื่อย ๆ ดูว่าเพราะอะไรสิ่งนี้จึงเกิดขึ้นมา มองเห็นถึงความแตกต่างระหว่างความขยันกับความเกียจคร้านให้จงได้ หลายคนปล่อยเวลาทิ้งไปวัน ๆ ให้ล่วงเลยผ่านไป มองไม่เห็นความแตกต่างของแต่ละวัน รวมถึงเพิกเฉยปัญหาในแต่ละวันไม่ยอมเข้าไปแก้ปัญหาให้ตรงจุด ถ้าเกิดเราสามารถเข้าใจความแตกต่างของวันนี้และวันพรุ่งนี้ได้ นั่นก็จะทำให้เรารู้ว่าวันนี้จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นต่ออนาคตข้างหน้าทีเดียว การปล่อยเวลาทิ้งนั้นทำให้ความแตกต่างนั้นไกลออกไป ทำสิ่งนี้ย่อมได้สิ่งนั้น เรารู้อย่างนี้เราจะไม่เผลอไปหลงเข้ากับความเกียจคร้าน เพราะทุกคนต้องการให้ชีวิตตัวเองแตกต่างมิใช่หรือ.
จิตรวมความแตกต่างนั้นเป็นหนึ่งเดียว
เราทุกคนต้องรู้ความแตกต่าง เราทุกคนต้องการเป็นคนที่แตกต่าง และเราทุกคนไม่รู้เท่าทันความแตกต่าง แม้แต่คำว่าแตกต่างก็ย่อมมีความหมายโดยนัยแตกต่างกันอย่างมาก แล้วเมื่อวันใดเรารู้ว่าจิตนั้นจะแตกต่างกันได้ก็ต่อเมื่อเราหลงไปที่อื่น จิตจะรวมเป็นหนึ่งเดียวเพราะจิตรู้ตัวทั่วพร้อมว่าการไปหาสิ่งอื่นย่อมไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น รังแต่จะทำให้จิตสร้างภาพขึ้นมาให้เราหลงเข้าไปมากยิ่งขึ้น วันนี้จึงเป็นวันที่สำคัญในการเรียนรู้การรวมจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่พยายามให้อัตตาได้กลืนกินความแตกต่างของผู้คน รู้เท่าทันอารมณ์ที่แตกต่างบ่อยครั้งขึ้น เมื่อนั้นจะถึงวันของการที่จิตจะรวมความแตกต่างเป็นหนึ่งเดียว.
ปัญหาภายนอกจะหมดไปเพราะการเข้าใจปัญหาภายใน ความแตกต่างจะหมดไปเพราะการเข้าใจความแตกต่างที่แท้จริง หากจิตไม่ยอมรับความแตกต่าง จิตนั้นจะยิ่งฟุ้งซ่านไปไกลจากตัวเราเองมากยิ่งขึ้น เมื่อนั้นความจริงก็ย่อมเนิ่นช้า ความหลงก็ย่อมเข้ามาแทนที่ สุดท้ายแล้วชีวิตก็ไม่มีคำตอบอะไรชัดเจนไปมากกว่าการเห็นประโยชน์ของการดูจิตดูใจตัวเราเอง เพราะบางทีเราอาจจะเป็นคนสร้างเรื่องความแตกต่างขึ้นมาเองทั้งหมดก็ได้ เพราะแตกต่างก็คือแตกต่าง ไม่ใช่ว่าแตกต่างแล้วไม่ดีหรือดีอย่างไร ฝึกให้ใจมองว่าก็แตกต่างจึงสมบูรณ์และแตกต่างกันจึงสมดุล ไม่เช่นนั้นโลกใบนี้ก็จะขาดรสชาติของความแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง.