สนทนากันบ้าง

สนทนากันบ้าง

มีใครเคยตั้งคำถามกันไหมว่า วันนี้เราควรทำอะไรมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการตามหาความสุขส่วนตน การแบ่งปันความสุขให้กับผู้อื่น หรือจะเป็นสิ่งต่าง ๆ ที่เราพอจะนึกถึงมันได้ เช่น ไปเที่ยว กินข้าว ดูหนัง ฟังเพลง ฯลฯ ชีวิตก็คงจะวนเวียนกันอยู่แค่นี้.

ทว่า สิ่งที่เราควรทำมากที่สุดอาจจะไม่ใช่การตามหาความสุขส่วนตน หรือการแบ่งปันความสุขให้กับผู้อื่นเท่านั้น แต่มันคือ การสนทนากันบ้าง การคุยกันบางทีเราอาจจะไม่ได้เข้าถึงแก่นของการพูดคุยเท่าไรนัก หรือว่าการที่เราพูดแต่เรื่องของตัวเอง เราก็มักจะอยากพูดในสิ่งที่เราอยากจะพูด แต่เราอาจจะหลงลืมอะไรกันไปมากมายว่า สิ่งที่สำคัญกว่าการพูดก็คือ การฟังนั่นเอง.

ตอนแรกที่คิดหัวข้อนี้ขึ้นมาก็คิดว่า มันจะมีประโยชน์ต่อใครบ้างไหม แล้วก็ได้ไอเดียมาเมื่อไม่กี่วันก่อน ที่อยู่ดี ๆ ความคิดก็เกิดขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว บางทีเราอาจจะพูดมากไป บางทีเราอาจจะฟังน้อยไป และบางทีเราอาจจะเลือกฟังเฉพาะในสิ่งที่เราต้องการเท่านั้น ไม่ได้คำนึงถึงผู้คนรอบข้างเลยว่า เขาต้องการอะไรจริง ๆ ในชีวิต แล้วบทสนทนาก็ได้เริ่มต้น ณ บัดนี้.

สนทนากับตัวเอง

หลายคนอาจจะสงสัยว่า เราจำเป็นต้องคุยกับตัวเองจริง ๆ เหรอ ไม่คุยได้ไหม หรือว่าจะเอาเวลาไปทำอะไรอย่างอื่นที่มันดูมีสาระประโยชน์มากกว่าการคุยกับตัวเองดีล่ะ คำตอบนั่นก็ง่ายมากคือ การคุยกับตัวเองนั่นแหละเป็นช่วงเวลาที่มีสาระประโยชน์มากที่สุดแล้ว การคุยกับตัวเองมันเปรียบเหมือนการได้นั่งถามไถ่เรื่องราวในอดีต บางครั้งเราอาจจะหลงลืมมันไปและบางครั้งเราอาจจะเพิกเฉยมันไปเฉย ๆ ไม่ยอมนำมันกลับมาขบคิดอีกรอบนึง ประสบการณ์ในอดีตจะมีประโยชน์ได้อย่างไร หากวันนี้เราไม่ยอมนำประสบการณ์นั้นมาคิดวิเคราะห์ แล้วหาสาเหตุของปัญหานั้น.

สนทนากับตัวเองจะเป็นสิ่งที่ดีก็ต่อเมื่อเราพยายามถามตัวเองอยู่เสมอว่า เราต้องการอะไรในชีวิตกันแน่ ถ้าเราไม่รู้ว่าเราต้องการอะไร ปัญหาในชีวิตจะเกิดขึ้นมาเยอะมาก ก็เพราะเราไม่สามารถจับทิศทางในชีวิตได้อย่างแม่นยำ ก็แน่นอนล่ะว่าบางครั้งสิ่งที่เราต้องการมันก็ไม่ได้มาอย่างที่เราต้องการไปซะหมด แต่เราก็จำเป็นจะต้องกำหนดมันขึ้นมาให้ได้ แล้วก็มุ่งมั่นที่จะดำเนินไปตามทางที่เราเชื่อมั่น.

ฟังเสียงเรียกของตัวเราเองบ้าง ไม่อย่างนั้นเราจะไม่รู้จักตัวเองเลย การไม่รู้จักตัวเองก็เกิดจากการที่เราพยายามหนีความเหงา เบื่อ เศร้า เซ็ง และพยายามหนีไปทำกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อคลายทุกข์ตลอดเวลา ถ้าหากว่าเราสนทนากับตัวเองเป็นแล้ว เราจะพบว่า การอยู่เฉย ๆ บ้าง การนั่งเงียบ ๆ แล้วหวนคิดถึงวันที่เราผ่านพ้นมา ก็มีความสุขเหมือนกันนะ วันใดที่สุขก็ยิ้มแป้น วันใดที่ทุกข์ก็หม่นหมอง แล้วเรื่องราวต่าง ๆ ก็เป็นเพียงแค่อดีตที่ผ่านพ้นมาเท่านั้นเอง.

สนทนากับธรรมชาติ

ก่อนที่เราจะไปจากการสนทนากับตัวเอง ต่อมาคือ การสนทนากับธรรมชาติก็เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของการที่เราจะได้ยินเสียงของผู้อื่นอย่างแท้จริง หากวันนี้เราไม่รู้จักสนทนากับธรรมชาติรอบตัวเรา การจะไปคุยกับใครก็ย่อมไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงในความคิดของเราเอง สิ่งแวดล้อมรอบตัวของเราคือตัวชี้วัดความสุขในอนาคตของเรา ก็ยิ่งเราได้ยินเสียงธรรมชาติมาก เราก็จะยิ่งโอบกอดธรรมชาติมากขึ้นแล้วก็จะรักธรรมชาติตามมาด้วย แล้วประโยคข้างต้นนี้เป็นจริงอย่างแน่นอน เพียงแต่ต้องใช้ระยะเวลาในการพิสูจน์ก็เท่านั้นเอง.

เมื่อไม่กี่วันก่อนในขณะที่กำลังออกกำลังกายอยู่ ด้วยความรู้สึกที่ไม่ได้ออกกำลังกายมานานแล้ว ก็เลยมุ่งมั่นที่จะวิ่งให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ แล้วโมเมนต์ที่สำคัญก็เกิดขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ก็ทุกครั้งเรามักจะออกไปวิ่งด้วยเหตุผลคล้ายกันก็คืออยากมีร่างกายที่แข็งแรง จะได้มีชีวิตอยู่อย่างยืนยาว กระนั้น กระรอกที่วิ่งไปวิ่งมาบนต้นไม้ก็วิ่งกันเพื่อเอาตัวรอด บางตัวก็ไปหาอาหาร บางตัวก็วิ่งหลบคนที่เดินผ่าน และบางตัวก็กำลังอยู่ใกล้ชิดกับเพศตรงข้าม การสนทนากับกระรอกในครั้งนี้ มันเป็นช่วงเวลาที่มหัศจรรย์มาก เพราะการจะเข้าถึงตัวมันด้วยการสัมผัสอาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การมองมันอย่างที่มันเป็น นั่นอาจจะหมายถึงเรากำลังศึกษาและเรียนรู้อยู่รึเปล่า.

การเข้าใจธรรมชาติ อาจจะไม่ใช่การที่เราต้องไปนั่งอยู่กับธรรมชาติทั้งวันทั้งคืน แต่กลับกลายเป็นเราเริ่มสังเกต ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ต่าง ๆ ต้นไม้และใบหญ้า ลมพัดโชยมาตามกระแสลมในแต่ละจังหวะ บ้างก็ทำให้เราร้อน บ้างก็ทำให้เราหนาว สิ่งเหล่านี้กำลังบอกกับเราว่า เราเริ่มมีสติสังเกตสิ่งรอบข้างบ้างแล้วล่ะ จิตใจที่ตั้งมั่นเป็นผู้เห็น ผู้ดู ย่อมเกิดบทสนทนากับธรรมชาติขึ้น ธรรมชาติกำลังสื่อสารกับเราตลอดเวลา เพียงแต่เราไม่ได้สนใจธรรมชาติเลยเสียมากกว่า.

สนทนากับคนรัก

การหลีกเลี่ยงการสนทนากับคนรัก ก็เหมือนเราไม่ยอมพูดคุยกับตัวเราเอง มิหนำซ้ำมันอาจจะหนักหน่วงกว่าการที่เราไม่คุยกับตัวเองด้วยซ้ำไป ชีวิตคือการเรียนรู้ และการเรียนรู้ที่ขาดไปไม่ได้คือการสนทนากับคู่ครองของเรา หลังจากที่ศึกษาสิ่งต่าง ๆ มากมาย การกลับคืนสู่สิ่งสามัญในวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม มันก็คือการใช้ชีวิตกับคนที่เรารักนั่นแหละ มนุษย์เป็นสัตว์ประเภทหนึ่งที่ต้องการขยายเผ่าพันธุ์ต่อไปเรื่อย ๆ แล้วแน่นอนว่าการครองคู่ก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ไม่ว่าสัตว์ใดก็ตามล้วนแต่ถูกขับเคลื่อนด้วยสิ่งนี้เหมือนกันหมด แล้วเราเรียกกันว่าความรัก.

การสนทนากับคนรักจะละเอียดลออ แถมยังมากกว่าการสนทนากับบุคคลในความสัมพันธ์อื่นมาก ด้วยเหตุผลที่ว่าการคุยกันส่วนใหญ่จะเป็นในเรื่องของความรู้สึกทั้งหมด การที่เราอยากเจอ อยากคุย อยากมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง ก็มีจุดเริ่มต้นมาจากความรู้สึก การจะไปสนทนากับคนรักจึงไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก หากว่าคนรักนั่นแลคือตำแหน่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเรา หากเราไม่สนทนากับคนรัก นั่นหมายถึงเราจะไม่ได้สาระประโยชน์อะไรจากชีวิตนี้เลย.

คนรักหมายถึง คนที่จะอยู่ครองคู่กับเราไปตราบนานเท่านาน มีระยะเวลาอยู่ร่วมกันมากกว่าพ่อ แม่ พี่ น้อง และเพื่อนรวมกัน นั่นหมายความว่า เราจะต้องใช้เวลาทั้งหมดไปกับการอยู่ร่วมกัน แล้วการอยู่ร่วมกันเป็นระยะเวลาอันยาวนานนั้น ก็ย่อมส่งผลดีและผลเสียอย่างคาดไม่ถึง ยิ่งมีอายุมากขึ้นมันไม่ใช่ว่าเราจะตามหาคนรักจากหน้าตาที่สวยงามหรือหน้าที่การงานที่มั่นคง แต่เราอาจจะต้องการคนที่นั่งสนทนากับเราไปได้อย่างลื่นไหล คอยผลัดเปลี่ยนการรับฟังและพูดจากัน อีกคนนึงมีปัญหา อีกคนก็ย่อมรับฟังและให้คำปรึกษาไปในทางที่ถูกต้อง และเมื่ออีกคนให้คำปรึกษาแล้ว อีกคนก็ต้องพยายามนำมาปรับใช้ เพื่อให้ชีวิตของเราดีขึ้นไปพร้อมกัน.

สนทนากับผู้คน

ความสัมพันธ์ของมนุษย์เริ่มต้นจากผู้คน ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง และผองเพื่อน รวมถึงผู้คนที่เราไม่รู้จัก และญาติห่าง ๆ ที่เราไม่ค่อยไปเยี่ยมเยียนเขาสักเท่าไร ชีวิตที่ประกอบไปด้วยตัวเรา ธรรมชาติ คนรัก และผู้คน ทั้งหมดทั้งมวลนี้หลอมรวมกันเป็นความสมบูรณ์ยิ่งในการที่เราเกิดมา หน้าที่ของเราเพียงอย่างเดียวคือ การสนทนาอย่างไรก็ได้ให้เกิดประโยชน์สูงที่สุด ไม่พูดแต่เรื่องของตัวเอง รู้จักรับฟังคนตรงหน้าเรา และอย่าลืมที่จะให้คำแนะนำกับบทสนทนาที่อีกฝ่ายกำลังหาคำตอบในชีวิตอยู่ด้วย.

บางคนเขาอาจจะไม่ได้รับฟังเรา ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลใดก็ตามนั่นก็คือการสนทนาแล้วล่ะ การสนทนาที่ดีอาจจะไม่จำเป็นต้องมีผู้พูดและผู้ฟัง หากว่ามีผู้ฟังนั้นจะสำคัญมากกว่า เพราะคนส่วนใหญ่เป็นผู้พูดโดยปริยายอยู่แล้ว การสนทนาจึงไม่ค่อยสัมฤทธิ์ผลเท่าที่ควร เพียงแค่เราเป็นผู้ฟังที่ดี พยายามเปิดใจรับฟังผู้อื่นว่าเขากำลังสื่อสารอะไร เขากำลังเล่าเรื่องอะไรอยู่ อย่างน้อยที่สุดเราอาจจะไม่ได้อะไรจากการฟังครั้งนี้มากมาย แต่เราจะได้ความเข้าอกเข้าใจผู้อื่น เราจะตระหนักรู้ว่าคนทุกคนก็ต้องการมีตัวตนด้วยกันทั้งนั้น ไม่ใช่เราอยากจะมีตัวตนในโลกเพียงคนเดียว แต่มันก็หมายถึงมีผู้คนอื่นด้วยที่ต้องการหาที่ยืน เพื่อเป็นการยอมรับในจุดยืนของเขาเหล่านั้นด้วยเช่นเดียวกัน.

ตั้งใจฟังว่าผู้คนต้องการอะไร แล้วกลับมาถามตัวเองว่าเขาต้องการอะไรจากเรา เพราะบางทีเขาอาจจะไม่ได้ต้องการให้เราให้คำแนะนำที่สวยหรู หรือคำปลอบโยนที่หวานซึ้ง เพียงแต่เขาต้องการให้เรายอมรับเรื่องราวที่เขาเชื่อ เขาเดิน และมุ่งมั่นที่จะเป็นไปก็เท่านั้นเอง วันใดวันหนึ่งถ้าหากผู้คนเหล่านั้นเริ่มอยากจะเป็นผู้ฟังบ้าง วันนั้นจะต้องเป็นวันที่ผู้คนจะเริ่มมองเห็นความสุขที่อยู่รอบตัวมากขึ้น แล้วมันก็จะเป็นจุดเริ่มต้นของการสนทนากับตัวเองอย่างแท้จริง ไม่จำเป็นต้องนั่งพูดแต่เรื่องของตัวเองอีกต่อไป.

สนทนากับผู้รู้

ถ้าวันนี้เป็นวันที่เราต้องการหาคำตอบของชีวิต บางทีความสัมพันธ์ทั่วไปก็อาจจะไม่ได้มีคำตอบให้เราอย่างชัดเจน การเริ่มต้นสนทนากับผู้รู้จึงเป็นทางออกของปัญหานี้ได้ บางทีผู้รู้อาจจะมาในรูปแบบเพื่อน บางทีผู้รู้อาจจะมาในรูปแบบคนรู้จัก หากเราไม่รู้จักการตั้งคำถามและไม่รู้จักการเปิดใจรับฟัง เราจะเสียประโยชน์จากตรงนี้ไปมาก ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามสิ่งที่เราต้องตั้งใจไว้ก็คือ อยากเจอคนที่พูดความจริง แล้วความจริงนั้นเป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ ไม่ใช่หลอกให้เราติดข้องสิ่งต่าง ๆ เหมือนที่เราเป็นอยู่ตอนนี้.

ผู้คนส่วนน้อยนักที่จะได้สนทนากับผู้รู้จริง ๆ เพราะคนส่วนใหญ่แค่ถามว่าเขาต้องการอะไรในชีวิต เขาก็อาจจะตอบว่า ‘ไม่รู้’ คำว่าไม่รู้จึงขยายผลออกไปอย่างมหาศาลและกระทบไปในทุกแง่มุมของชีวิต ก็ไม่รู้จึงหาคำตอบ ก็ไม่รู้จึงต้องขวนขวายที่จะรู้ และก็ไม่รู้จึงต้องเปิดใจรับฟังอย่างเต็มที่ หากว่าเราไม่รู้แล้วปิดใจ จมอยู่กับตัวเองต่อไป สุดท้ายชีวิตก็จะไม่เหลืออะไรนอกจากความว่างเปล่าที่เรานั้นสร้างมันขึ้นมาเองกับมือ ไม่มีใครยัดเยียดอะไรให้เราทั้งนั้น วันนี้จึงเป็นวันที่สำคัญที่เราจะเริ่มต้นแสวงหาการสนทนาที่ล้ำค่า ก่อนที่อะไร ๆ มันจะสายเกินแก้.

ท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์อาจจะไม่ต้องการทางออกไปมากกว่าการให้ผู้คนยอมรับ การสนทนาจึงไม่เคยเกิดขึ้นจริง และอาจจะเลือนหายไปจากโลกใบนี้ บทสนทนานี้จึงอุบัติขึ้นเพื่อเป็นการแจ้งเตือนว่า วันนี้ยังไม่สายที่เราจะเริ่มสนทนากันบ้าง ไม่ใช่เพียงแค่พูดคุยกัน แต่เป็นการสนทนาเพื่อหาทางออกของชีวิต ถ้าในชีวิตเราไม่มีผู้รู้ก็จงตามหาผู้คนเหล่านั้น แล้วก็นำสิ่งดี ๆ มาปรับใช้กับตัวเราให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ นี่แหละคือการสนทนากันอย่างแท้จริง.