เลือกกินบ้าง

เลือกกินบ้าง

นับวันอาหารที่เราเลือกกิน ก็จะกลายมาเป็นสิ่งที่เราต้องนำมันมาใช้ในอนาคต ซึ่งก็เป็นในอนาคตอันใกล้เสียด้วยซ้ำ กินวันนี้พรุ่งนี้ก็ขับถ่ายออกมาเป็นอย่างที่เรากินไปนั่นแหละ สิ่งที่จะสื่อสารออกไปจริง ๆ ก็คืออยากให้ทุกคนเลือกกินบ้างแค่นั้น ไม่อยากให้กินตามใจปาก แต่ให้กินตามใจร่างกายกันเสียหน่อย เพื่อที่จะเรียนรู้ว่าการกินอย่างไรก็ได้อย่างนั้น เหมือนกับการกระทำเลยที่ทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้นเช่นกัน ไม่ว่าจะเด็กหรือวัยรุ่น ก็ควรที่จะกินดี อยู่ดี และนอนหลับให้เพียงพอในแต่ละวัน มันจะส่งผลไปสู่วัยกลางคน และบั้นปลายชีวิตอย่างแน่นอน.

อนาคตอันใกล้ไม่กี่สิบปีนี้ โลกใบนี้รวมถึงประเทศไทยเรานี้จะเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มตัว หมายความว่าเราจะมีอายุคนเฉลี่ยสูงกว่าวัยทำงานอยู่ที่วัย 65 ปีขึ้นไป แล้วมันจะสูงขึ้นไปอีกถ้าหากว่าคนรุ่นใหม่ไม่สามารถที่จะสร้างคนรุ่นใหม่ ๆ (มีลูก) มาได้ เด็กที่เกิดใหม่จะน้อยลง แถมคนสูงวัยจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เพราะจุดสูงสุดของผู้คนที่เกิดมาอยู่ราว ๆ 20 ปีก่อนหน้า (ซึ่งก็คือก่อนก่อนวิกฤตต้มยำกุ้งนั่นเอง) ประเด็นสำคัญอาจจะไม่ได้อยู่ที่ตรงนี้ แต่มันจะสัมพันธ์กับการกินของคนในยุคปัจจุบัน ที่มีโอกาสที่จะเลือกกินน้อยกว่า คนยุคก่อนอย่างมหาศาล.

วันหนึ่งในขณะที่ได้เข้าไปรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพแล้วพบว่า “เราควรจะกินผักมาตั้งนานแล้วนะ” เพราะผักมันก็มีประโยชน์มากมาย แถมช่วยลดโรคภัยไข้เจ็บ ลดไขมันในเลือดและอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ก็นั่นแหละ ถึงแม้ว่าเราจะรู้อยู่แก่ใจว่าผักมีประโยชน์ แต่ความอยากข้างในลึก ๆ ก็คืออยากกินอาหารพวกของทอด ของมัน ๆ มันจะทำให้รู้สึกเติมเต็มมากกว่า หากความรู้สึกที่แผ่ซ่านออกมาจริง ๆ แล้วมันอยู่ในยีนของสายพันธุ์มนุษย์มาอย่างเนิ่นนาน ก็เพราะมนุษย์ออกแบบมาให้กักตุนอาหารเอาไว้ในร่างกาย เพื่อเอาชีวิตรอดในช่วงฤดูแล้ง ความรู้สึกจึงออกแบบมาให้กินของประเภทอาหารขยะ มากกว่าอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ.

กระนั้น มนุษย์ถูกวิวัฒนาการแค่ทางกายภาพ แต่ไม่ได้ถูกพัฒนาทางจิตใต้สำนึกกันสักเท่าไร เหมือนกับว่าโลกนี้ไปไกลกว่าความรู้สึกลึก ๆ ของเรา ไม่ว่าจะเป็นทั้งสัญชาตญาณ จิตใจด้านมืด และความอยากได้ใคร่มีที่ไม่มีวันสิ้นสุด สิ่งเหล่านี้กำลังบ่งบอกว่ามันอาจจะเป็นตัวทำลายอนาคตของเราอย่างสูญสิ้นเลยก็ว่าได้ เมื่อเราตระหนักรู้ถึงข้อมูลแล้ว การนำข้อมูลมาต่อยอดจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น การนำมาปรับใช้จึงเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างยิ่ง แล้วเราจะพบว่าสังคมผู้สูงวัยไม่ได้อยู่ที่อายุ แต่อยู่ที่การเลือกกินบ้างก็เท่านั้นเอง.

หากเราต้องการมีอายุที่ยืนยาว ประกอบกับร่างกายที่แข็งแรง การทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เหมือนกับที่เราเรียนมาตั้งแต่เด็กก็เป็นปัจจัยที่สำคัญมาก แล้วที่สำคัญกว่านั้นสมัยนี้อาหารที่เรียกว่า Vegan หรือ Organic Food ก็มีตามท้องตลาดทั่วไป หากเราพอที่จะสามารถซื้อผัก ผลไม้ หรืออาหารสดที่ปลอดสารพิษได้จริง ๆ พอผ่านไปสักระยะเราจะพบว่า ความสุขที่แท้จริงอยู่ที่เราเลือกกินตั้งแต่เนิ่น ๆ ไม่ใช่ในวันที่สายเกินไป ไม่ใช่เริ่มตอนวัยกลางคนหรือวัยชรา การเปลี่ยนแปลงตัวเองตั้งแต่วันนี้ ตอนอายุน้อย ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญต่ออนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้.

การแสวงหาอาหารที่ดีก็พอช่วยได้ส่วนหนึ่ง แต่มันก็มีอีกหลายกรณีมาก ๆ ที่ทานดี อยู่ดี นอนหลับให้เพียงพอ แต่ก็ยังเป็นโรคต่าง ๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคนอนไม่หลับ และโรควิตกกังวล ซึ่งโรคมากมายนี้ เราไม่สามารถจะไปกำหนดหรือกะเกณฑ์มันได้ทั้งหมดว่า “ถ้าฉันกินอาหารดี ๆ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น ร่างกายก็จะไม่มีโรคภัยไข้เจ็บอะไรเลย” มันก็คงเป็นแบบนั้นไม่ได้ทั้งหมด เพราะอาหารก็คือส่วนหนึ่ง แต่การนอนหลับให้เพียงพอต่อคืนคือ 6-8 ชั่วโมง (ระยะเวลาขึ้นอยู่กับแต่ละคน) ก็ยังคงมีผลกระทบต่อร่างกายเยอะพอสมควร.

มิหนำซ้ำ ยังมีความเครียดในแต่ละวันที่คอยกัดกินทั้งจิตใจและร่างกายด้วย ซึ่งอาหารก็เป็นแค่ส่วนหนึ่ง เพราะจริง ๆ แล้วหากเราแบ่งชีวิตออกเป็น 3 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่ 1. โภชนาการ 2. การนอนหลับ และ 3. ความเครียด แล้วถ้าเรากินดีอยู่ดีมาก ๆ ทุกอย่างปลอดสารพิษ ไม่กินของทอด ไม่กินของคอเลสเตอรอลสูง และพวกไขมันอิ่มตัว แปรรูป หรืออื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วน แต่ต่อมาเรายังคงประสบปัญหานอนหลับไม่เพียงพอ แถมยังมีความเครียดในแต่ละวันที่เรายังไม่เคยคิดจะปล่อยวาง ในท้ายที่สุดเราก็ยังคงมีโรคภัยถามหาเราอยู่ดีนั่นเอง.

ทั้งนี้ เราไม่จำเป็นต้องไปกำหนดว่าทุกวันจะต้องกินแต่ผัก ผลไม้ แต่เราต้องใช้หลักคำว่า ‘พอดี’ ถ้าพอมีเวลาก็ควรจะหามา ไม่ใช่ว่าไม่มีเวลาแล้วก็ต้องหามาให้ได้ แทนที่จะต้องทำแบบนั้นทุกวัน ก็เปลี่ยนเป็นลองวางแผน และจัดเป็นตารางจะดีกว่าว่า วันนี้กินอาหารอะไร ต้องทานผลไม้ชนิดไหน เจาะจงแบบเน้นระบบขับถ่ายให้ดีขึ้น ถ้าหากว่าวันนี้กินผักเยอะแล้ว ก็เน้นผลไม้ไปที่เสริมสร้างวิตามินให้แก่ร่างกายก็จะสมดุลดี ลองใช้หลักความพอดีจะเป็นตัวตอบโจทย์ในชีวิตมากกว่า.

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา อย่าลืมว่าส่วนหนึ่งมันมาจากการใช้ชีวิตของเราในอดีต ซึ่งชีวิตประจำวันจะเป็นตัวชี้วัดอนาคตได้อย่างแม่นยำมากที่สุด การอยู่ช่วงตอนวัยรุ่นยังไม่เห็นผลลัพธ์ใด ๆ ทั้งสิ้น ก็อย่าเพิ่งคิดว่าเราจะไม่เป็นโรคร้ายใด ๆ เพราะความประมาทก็ไม่ต่างจากคนที่ตายไปแล้ว เพียงแต่มันยังไม่ถึงเวลาที่สัมฤทธิ์ผลเท่านั้นเอง แล้วถ้าเรารักใคร จงบอกให้เขากินผัก ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ชอบก็ตาม ลองเปลี่ยนเป็นทานอาหารประเภทธัญพืชให้มากขึ้นหน่อย ฝึกฝนตั้งแต่วันนี้ ไม่รู้ว่าอนาคตจะดีหรือแย่อย่างไร อย่างน้อยวันนี้เราก็เปลี่ยนนิสัยการเลือกกินบ้างก็พอ.