ถ้าเราลองเปิดเข้าไปดูในโซเชียลมีเดีย เราคงจะเห็นภาพที่ผู้คนกำลังมีความสุขกันอยู่อย่างเอ่อล้น มีน้อยคนที่จะลงรูปตอนเศร้า ตอนอกหัก หรือว่าตอนมีปัญหาทางการเงิน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะมีความสุขอย่างที่เป็นกันจริง ๆ เสียทั้งหมด ก็ในเมื่อภาพ ๆ เดียวที่เราใช้ตัดสินผู้คนในสังคม ไม่ได้เป็นข้อความที่ต่อเนื่องสักเท่าไร แต่เป็นข้อความที่รอวันเติมเต็มเสียมากกว่า.
เมื่อวันใดที่อ่อนล้า เราจงวางมือถือลง งดดูข่าวสารบ้านเมืองสักพัก พักกายและใจไว้ตรงนี้ สิ่งที่ทำให้เราทุกข์มากที่สุด อาจจะไม่ใช่ชีวิตของเราเอง แต่เป็นการไป ‘เปรียบเทียบ’ กับผู้คนในสังคมอันกว้างใหญ่ไพศาล ที่ทุกคนไม่แม้แต่จะบอกด้วยซ้ำว่าความทุกข์เป็นเช่นไร ไม่มีบทสนทนาของปัญหาชีวิต มีแต่ความสุขอยู่อย่างดาษดื่นเต็มไปหมด พอเราเข้าใจดีแล้วว่าการหยุดที่จะเสพสื่อสักพัก ก็อาจจะเป็นทางออกให้จิตใจได้พักจริง ๆ เมื่อนั้นเราจะเห็นตัวเองอย่างที่เราเป็น.
ถึงแม้เราจะมีความสุขอยู่ในโซเชียลมีเดีย แต่มันจะมีอีกมุมนึงที่เราไม่เคยได้ใส่ใจมันสักเท่าไร มันคือมุมของความบอบช้ำ และความทุกข์ที่เราพยายามจะหนีมันมาตลอด แต่การที่เราจะหนีมันไปอาจจะมิใช่ฐานะที่เราพึงจะทำได้ ให้ลองมองจุดที่เราบอบช้ำเอาไว้ ลองโอบกอดตัวเองดู ถ้ายังรู้สึกว่าไม่ไหวในตอนนี้ก็ไม่เป็นไร ให้บอกกับตัวเองว่า “ไม่เป็นไรนะ เรายังอยู่ตรงนี้เสมอ” ทั้งนี้ เราอาจจะต้องให้เวลาเป็นตัวเยียวยา แต่อย่าพยายามหนีมันก็พอแล้ว.
ชีวิตที่สวยหรูอาจจะไม่ใช่ชีวิตที่ดีพร้อมเสมอไป แต่อาจจะเป็นชีวิตที่ เรารู้ว่าเราขาดอะไรและเรารู้ว่าเรามีอะไร ให้เริ่มจากการมองสิ่งที่เรามีเสียก่อน ว่ามันพอที่จะสามารถพัฒนาชีวิตไปได้ไกลแค่ไหน เรามีเงินไหม เรามีความรู้อะไรบ้าง หรือเรามีเวลาหรือเปล่า จงใช้สิ่งที่มีให้เกิดประโยชน์สูงที่สุด แล้วค่อยไปมองสิ่งที่เราขาด หากเรารู้ว่าเราขาดแฟน จงดูว่า คำว่าแฟนจริง ๆ แล้วมันหมายถึงอะไร มันหมายถึงคนที่เข้ามาในชีวิตของเรา มาแก้เหงาไปวัน ๆ หรือว่าการครองคู่กัน เข้าใจและยอมรับนิสัยซึ่งกันและกัน หรืออะไรก็ตามแต่ เราต้องเป็นคนจำกัดคำนิยามของสิ่งที่เราต้องการค้นหาให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก.
ต่อมาเราอาจจะอยู่ในความสัมพันธ์ที่กำลังไปได้สวย แต่สรุปตอนท้ายเราก็โดนทิ้งกลางอากาศ ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม สรุปเราเริ่มบอบช้ำกับชีวิตของเราแล้ว หนทางสู่ความบอบช้ำอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง เมื่อชีวิตบอบช้ำเราจึงพยายามหาทางเยียวยา เมื่อเจ็บปวดเราจึงพยายามขวนขวายหาความสุข และเมื่อเราไม่รู้ เราจึงเดินไปเหมือนคนหลงทาง ชีวิตไม่ใช่การเดินไปไหนก็ได้ตามใจชอบ เพราะทุกทางล้วนมีบางสิ่งติดตามเราไปด้วยเสมอ บ้างก็เป็นความสุข บ้างก็เป็นความทุกข์.
เมื่อชีวิตเราบอบช้ำมากเข้า การเข้าไปดูความสุขของคนในสังคมก็อาจจะไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก ตอนที่เรามีความสุขเราเห็นความสุขของคนอื่น เราก็พลอยยินดีไปกับเขา แต่เวลาเราเศร้าการจะไปเห็นความสุขของคนอื่น มันจะยิ่งทำให้เราถามตัวเองว่า “นี่คือชีวิตอันบูดเน่าของฉันหรือนี่ ดูคนอื่นเขาสิ เขามีแฟนที่รักกันมาก เขามีเงินทองที่จะไปไหนมาไหนก็ได้ ส่วนฉันนั่งจมอยู่ในห้องกับอะไรก็ไม่รู้” การบอกตัวเองซ้ำ ๆ ว่า “ฉันมันไม่ดีพอหรอก ดูสิ ถ้าฉันดีพอนะ คงไม่มีใครทิ้งฉันไปแบบนี้แน่” เราจะยิ่งเหมือนนางเอกในละครเรื่องนึง ที่ถูกกระหน่ำด้วยความไม่ยุติธรรมของโลกใบนี้.
หยุดที่จะคิด หยุดที่จะมอง และหยุดอยู่ตรงนี้ ณ เวลานี้จริง ๆ แล้วเราจะพบว่าบางสิ่งที่เรามองมันมีอะไรซ่อนอยู่.
ไม่มีใครไม่เคยบอบช้ำหรอก จริง ๆ นะ เราทุกคนล้วนบอบช้ำมาด้วยกันทั้งนั้นแหละ เพียงแต่บางคนก็เปิดเผย บางคนก็ปิดบังก็เท่านั้นเอง ความสวยงามในโลกใบนี้ไม่ใช่เราจะมีแต่ความสุขเพียงอย่างเดียว แต่มันหมายถึงเราต้องยอมรับความทุกข์ที่เข้ามา เพราะมันคือรสชาติหนึ่งของชีวิต ลองคิดดูเล่น ๆ ว่า สมมุติว่าเรากินแต่แกงจืดทุกวัน เราก็คงเบื่อแกงจืด ใช่เลย เราจะต้องกินข้าวราดกะเพราไก่พร้อมกับไข่ดาวไม่สุก ผัดซีอิ๊วหมู หรือว่าก๋วยเตี๋ยวต้มยำรสเด็ด มันก็คือสิ่ง ๆ นึงที่เข้ามาในชีวิตของเรา แล้ววันนึงมันจะเป็นความทรงจำ ต่อมามันจะเป็นประสบการณ์ในชีวิตที่เราจะสามารถเอาไปสนทนากันได้.
ลองคิดดูว่า ถ้าบทสนทนาในชีวิตเรามันมีแต่ “เห้ยแก ฉันมีสามีรวยมากเลย สามีรักฉันมาก ๆ เลยนะแก สามีฉันไม่บังคับอะไรฉันเลย แถมให้เงินฉันใช้เดือนละเกือบล้าน นี่ไม่รวมบัตรเครดิตอีกต่างหากนะแก” เพื่อน ๆ ทุกคนที่ฟังอยู่คงจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “เห้ยชีวิตแกดีจังเลยอะ ฉันอยากเป็นแบบแกบ้างจัง” แล้วหลังจากนั้นก็เข้าสู่โหมดนิ่งเฉยกันไป เพราะมันไปต่อไม่ได้ เพื่อนที่ฟังคงคิดในในว่า “โห ดูชีวิตฉันสิ ทำงานวนไป โอทีเอาไว้แดกเงินเดือนเอาไว้ใช้หนี้ แฟนอย่าพูดถึงเลย สงสัยตอนนี้ยังไม่เกิดมามั้ง ไม่มีวี่แววอะไรสักนิด” สุดท้ายความสุขในชีวิตของเราอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของความจริงทั้งหมดก็ได้.
เมื่อเรามองย้อนกลับไปที่บทสนทนาอันมีแต่ความสุข เราก็คงจะมองกันไปว่า ชีวิตของคนนั้นคงจะดีมาก ๆ เลย แต่ช้าก่อนสหาย ความจริงของเรื่องทั้งหมดอาจจะไม่ใช่แบบนั้นทั้งหมด 100% สิ่งที่เล่าเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของชีวิตคนหนึ่งคน ความจริงอีกแง่มุมนึงอาจจะเป็นประมาณว่า “สามีฉันไม่กลับบ้านมาจะเดือนนึงละ เขาบอกอย่างเดียวว่าติดงาน ๆ ฉันว่าเขาเปลี่ยนไป สรุปฉันอยู่แต่กับเงิน เงิน และเงิน มีสามีเหมือนไม่มี สรุปฉันคงแต่งงานมาเพื่ออยู่กับเงินนี่แหละ” นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราถึงไม่พูดเรื่องความบอบช้ำของตัวเอง เพราะยิ่งคิดยิ่งทุกข์ ยิ่งมองยิ่งเศร้า ก็เลยไม่พูดมันไปเลย จะได้จบ ๆ เสมือนว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก็แล้วกัน.
เรื่องที่เล่ามาทั้งหมดเป็นเหตุการณ์สมมุติขึ้นมา อาจจะมีบางคนเป็นแบบนี้ หรือไม่เป็นแบบนี้ก็สุดแท้แต่คนนั้น สิ่งที่ต้องการจะสื่อสารออกไปก็คือ อย่ามองอะไรที่มันดูตื้นเขินจนเกินไป ลองมองให้ละเอียดลึกซึ้ง คนที่เล่าเรื่องก็เล่าให้มันหลากหลาย ไม่ต้องเล่าแต่เรื่องความสุขหรอก ความทุกข์ก็คุยกันได้ มันอาจจะทำให้เราเจอแง่มุมที่ดีมากกว่าที่เราคิดก็ได้นะ ส่วนคนที่ฟังก็ต้องฟังอย่างมีวิจารณญาณ มองชีวิตให้ออก มองแบบง่ายที่สุด ถ้าเราทุกข์ คนอื่นเขาก็ทุกข์ เราอาจจะบอบช้ำเรื่องความรัก พอไปเจอเพื่อนที่มีความรักดี เราก็อยากเป็นเหมือนเขา กลับกัน เพื่อนคนนั้นเขามีความรักที่ดี แต่เขาอยากมีความร่ำรวย โดยที่เรามีความร่ำรวยมากกว่าเขา เขาก็จึงอยากเป็นแบบเราบ้าง สรุปสุดท้าย เราอยากในสิ่งที่เราไม่มี และเราก็เพิกเฉยในสิ่งที่มีกันไป.
มุมมองจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ บางครั้งเราพูดเรื่องสุขบ้างเพื่อให้ได้แง่คิด รวมถึงเราอาจจะสอดแทรกความเศร้าไปด้วยเพื่อให้มันมีรสชาติที่กลมกล่อมมากขึ้น เมื่อเรามีแต่ความสุขโดยไม่สนใจความทุกข์ ชีวิตเราจึงดูจืดชืด เพียงเราเพิ่มการพิจารณาความทุกข์ไปหน่อยชีวิตก็จะมีสีสันสดใสขึ้นมาทันตา ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเริ่มต้นที่จะยอมรับปัญหาที่จะเข้ามา ลองดูว่ามันพอจะแก้ไขได้ไหม ลองดูว่าถ้าเราทำได้เราจะแก้ไขมันได้นานเพียงใด หรือว่าถ้ามันแก้ไขไม่ได้ การยอมรับจึงเป็นทางออกของปัญหานี้ การพิจารณาอาจจะดูเหมือนเสียเวลาที่จะไปหาความสุข แต่การจะไปมีความสุขโดยทิ้งความทุกข์ไว้ข้างหลัง ก็เปรียบเสมือนเราไม่ยอมทำการบ้านที่เราต้องส่ง วันนึงเราก็ต้องส่งการบ้านนี้อยู่ดี รีบทำตั้งแต่วันนี้จะดีกว่า ก่อนที่มันจะสายเกินไป.
บางครั้งเราอาจจะหลงคิดกันไปว่า ถ้าเราไม่มองความบอบช้ำเราก็คงจะดีขึ้นเอง กระนั้น ชีวิตไม่ใช่ไม่มองแล้วเท่ากับไม่มี การไม่มองยิ่งทำให้สิ่งนั้นเป็นภาระมากขึ้น เพราะมันเป็นภาระมากเราจึงควรจัดการกับภาระนั้น ถ้ายิ่งไม่มองมัน มันจะยิ่งกลับมาทำร้ายเรามาก เหมือนภัยที่ต้องระวัง แต่เรากลับเพิกเฉยมันด้วยความคิดที่ว่า “ทำเป็นมองไม่เห็นจะดีกว่า มันไม่มีหรอก คิดเอาเองว่าไม่เห็นก็เท่ากับไม่มี” ตรรกะแบบนี้ก็ยากที่จะมีความสุขจริง ๆ แล้วในตอนแรกมันอาจจะทำให้เราเหนื่อยกับการพิจารณา ก็ขอให้อดทนไปให้ได้ วันหนึ่งเราจะพบว่าความบอบช้ำที่ตัวเรามี มันก็ไม่ได้น่าเกลียดน่ากลัวขนาดนั้นนะ ถ้าล้มเหลวก็ให้ลุกขึ้นสู้ ผิดพลาดก็ให้แก้ไขไป รวมถึงมีความทุกข์ก็ให้รู้ตามความเป็นจริง.
ท้ายที่สุดแล้ว ชีวิตที่มีความสุข ก็คือการโอบกอดความบอบช้ำเอาไว้ เราทุกคนก็มีทั้งสุขและทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น เราทุกคนก็ล้วนแต่ปรารถนาความสุขในชีวิต บางคนเข้ามาในชีวิตเราแล้วก็จากเราไป บางคนเข้ามาเพื่อเสริมสร้าง บางคนเข้ามาเพียงเพื่อทำลาย ชีวิตก็เหมือนบ้าน บางคนมาก็ช่วยซ่อม บางคนมาก็ช่วยพัง หากเรามองให้เป็นคนที่เราเจอทั้งหมดก็คือคนที่เราต้องน้อมรับเข้ามาในชีวิตว่าเราเป็นคนเลือกเอง จงเคารพในการตัดสินใจทางเดินที่เราเลือก ถ้ามันไม่ดีแล้วพอเปลี่ยนแปลงได้ก็เปลี่ยนทาง ถ้ามันดีอยู่แล้วก็เดินหน้าต่อไป ให้มีจุดยืนในความดีเอาไว้ เพราะความดีจะมาทำให้ความบอบช้ำนี้ทุเลาลงได้อย่างแน่นอน.