ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่…
คงไม่มีใครไม่เคยได้ยินคำนี้กันใช่ไหม แต่ก็คงมีแต่เด็กที่ยังไม่รู้ประสีประสาเลยไม่สามารถเข้าใจได้.
เพจนี้ก็มีอายุราวหนึ่งปีกับอีกห้าเดือน ถึงแม้ว่าการโพสต์แต่ละโพสต์อาจจะใช้เวลานานมาก คนที่ติดตามก็มีสิทธิ์เบื่อ และขาดความต่อเนื่องไป แต่ผมก็ให้คำมั่นสัญญาว่าจะยังคงโพสต์ต่อไป ไม่ว่าอะไรจะเปลี่ยนแปลงเพื่อแชร์สาระอันสำคัญให้คนรุ่นใหม่ได้รับรู้กัน.
โพสต์นี้ ผมอยากจะแชร์เรื่องราวในชีวิตผมโดยย่อว่าอะไรเป็น ‘สาระอันสำคัญ’ ในช่วงปี 2018 ที่ผ่านมาโดยแบ่งเป็นหัวข้อหลัก ๆ 3 หัวข้อดังนี้ 1. ชีวิต 2. ความรัก 3. จุดมุ่งหมาย.
ชีวิต
1. การใช้ชีวิตคือการอยู่กับความจริง ไม่ผลักไส และไม่ใฝ่หาโดยเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นว่าทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีเหตุปัจจัยทั้งสิ้นไม่มีอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียวที่ปราศจากเหตุและปัจจัยนั้น.
2. ชีวิตเปรียบเหมือนกองไฟ มันเป็นแค่ช่วงสั้นๆเท่านั้นที่ชีวิตนั้นจะดำรงอยู่ได้ ถ้าไม่มีเชื้อไฟเติมเข้าไปในกองไฟก็ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ และจงใช้ชีวิตโดยคิดซะว่าไม่มีวันกลับมาแก้ไขอีกแล้ว.
3. คำนี้ได้ยินบ่อย และควรนำมาพิจารณาอย่างยิ่ง โดยเมื่อบุคคลนั้นขบคิดถึงข้อความนี้แล้ว ควรนำไปบอกต่อแล้วก็ดื่มดำกับความสุข ณ ขณะนั้นได้เลยตามแต่สะดวก “ปัญหาที่เข้ามานั้นมีทั้งดี และไม่ดีปะปนกันไป เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ในสิ่งที่เจอได้เลย แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดต่อสิ่งที่เราเจอได้ โดยคิดในแง่ดีว่า อย่างน้อยปัญหาก็ทำให้เราเติบโตขึ้นนะ”.
4. ความท้อแท้ฉุดรั้งไม่ให้เราออกจากวังวนอันหนาวเหน็บ บุคคลใดก้าวผ่านความสิ้นหวังนี้ไปย่อมเจอทางที่ปลอดภัยอย่างแน่นอน โดยการที่จะเริ่มต้นเข้าใจคนทั้งโลกก็จำเป็นจะต้องเริ่มต้นที่จะ ‘เข้าใจตัวเอง’ ก่อนมาเป็นอันดับหนึ่ง.
5. อย่าคาดหวังว่าจะใช้ชีวิตนั้นมีแต่ความสุขโดยส่วนเดียว จงคำนึงถึงความทุกข์เอาไว้ด้วย เพราะความสุขทำให้เราประมาท แต่ความทุกข์ทำให้เราเข้มแข็ง รวมถึงน้อมรับสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามาด้วยความจริงใจ.
6. โลกที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ย่อมนำพาซึ่งสิ่งใหม่ ๆ มาและสิ่งเก่า ๆ ไป ถ้าเราไม่สามารถปรับตัวให้ทันกระแสของโลกได้ ก็ย่อมเป็นทาสของโลกนี้และหนทางที่จะหลุดจากกระแสของโลกได้มีหนทางเดียวคือ ‘สติ’.
ความรัก
1. ในความหมายของหลายคนอาจจะมองว่า ความรักคือการครองคู่กับคนรักอย่างมีความสุข แต่ทว่า ในความเป็นจริงแล้ว ความรักนั้นปราศจากปัญหาไปไม่ได้เลย เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่มนุษย์ยังมีความปรารถนาที่จะมีความสุขแบบขาดสติ ก็จะทำให้ความรักนั้นมีปัญหาตามมาเสมอ ซึ่งให้เข้าใจความรักว่าคือการ ‘ให้’.
2. ยุคปัจจุบันนี้ก็คงหายากมากที่ใครนั้นจะมารักเราอย่างจริงใจ สรุปโดยง่ายว่าบุคคลที่จะมารักเรานั้นหาได้ยากยิ่ง เพราะเหตุนั้นเราทุกคนจึงควร ‘รักตัวเอง’ เป็นอันดับหนึ่ง เพราะถ้ามัวแต่รอใครต่อใครมาเข้าใจเรา หรือมัวรอใครต่อใครรักเราหมดหัวใจก็จะเกรงว่าจะแห้งเฉาตายไปเสียก่อน.
3. จงรักตัวเองให้เท่ากับพ่อแม่นั้นรักเรา เพราะความรักของพ่อแม่นั้นยิ่งใหญ่ที่สุด เปรียบเสมือนเชื้อเพลิงให้กองไฟนั้นลุกโชนขึ้นอีกครั้ง การอุทิศตนเพื่อความรักอันยิ่งใหญ่ก็ควรอุทิศให้คนในครอบครัวเป็นอันดับหนึ่งก่อน ก่อนที่จะไปมอบความรักให้ใครอื่น.
4. เราไม่สามารถจัดการคนที่เรารักไปในจุดที่เราเดินไปได้ เมื่อไหร่ก็ตามที่เรามีทางเดินของเรา เขาก็มีทางเดินของเขา เราทั้งสองเลือกทางเดินของตนเอง และก็ยากยิ่งที่จะโคจรมาพบกันอีก เปรียบเสมือนการเดินทางไกลเราทั้งสองเป็นเพียงเพื่อนร่วมทางกันเท่านั้น เมื่อมีบุคคลใดบุคคลหนึ่งมีเป้าหมายที่ผิดแผกไปจากเรา ก็ย่อมเปลี่ยนวิถีทางไปเลยโดยสิ้นเชิง แล้วจงระลึกไว้ว่าการเดินทางนี้ย่อมเด็ดเดี่ยวแม้โดดเดี่ยว แต่มันก็ได้ซึ่งความสุขบางประการมิใช่หรือ.
5. ทุกความสัมพันธ์ล้วนแต่มี ‘ระยะเวลา’ ที่แตกต่างกันไป ไม่มีความสัมพันธ์ไหนยืนยาวตลอดกาล และไม่มีความสัมพันธ์ไหนรักกันตลอดชั่วนิรันดร์ เราทุกคนล้วนแต่มีบาดแผลที่ให้ต้องเยียวยากันทั้งนั้น เราทุกคนจึงต้องเริ่มที่จะรักษาแผลนั้นด้วยตัวเองก่อน ก่อนที่จะเริ่มมีความรักครั้งใหม่ เพราะแผลเก่ายังไม่หายดีคนใหม่ที่เข้ามาก็ไม่มีหลักอะไรยืนยันว่าจะไม่มาซ้ำแผลเก่า.
6. ไม่คาดหวังว่าจะเจอความรักที่สวยงามตลอดไป แล้วก็เห็นความไม่สวยงามในความรักเหมือนเห็นคนกำลังทุกขเวทนาด้วยจิตที่เมตตา น้อยคนที่เมื่อมีความรักก็จะมาแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด และเวลาซึ่งกันและกัน ส่วนใหญ่ก็จะหวังเพื่อให้ ‘อีกคน’ มอบความรักให้ซึ่งนี่จะเป็นจุดอันตรายทำให้เราไม่มีความสุขในความรัก.
จุดมุ่งหมาย
1. โลกให้ทางเดินมาสองทาง อนึ่ง คือความดีและสองคือความไม่ดี มันขึ้นอยู่กับตัวเราเองว่าเราจะเลือกทางเดินไหน ส่วนตัวผมมั่นใจแล้วว่าทางแห่งความดีนั้น มีปลายทางที่ดีกว่าทางแห่งความไม่ดีเป็นแน่ จึงแนะนำให้ทุกคนเลือกทางแห่งความดีไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นอย่าหันกลับไปเด็ดขาด.
2. สังเกตผู้คนให้มากเท่าที่มากได้ว่าบุคคลใดสมควรแก่การที่เราจะรับฟัง รับความคิดนั้น ๆ เพราะในความเป็นจริงแล้วหายากมาก ที่จะเดินตามทางเดินของใคร แต่ถ้าเจอก็เป็นสิ่งที่ดี ซักถามถึงปัญหาชีวิตแก่บุคคลนั้น ๆ ว่าเขามีความคิดต่อตัวเขาเองเช่นไร หลังจากนั้นถามต่อไปว่าจุดมุ่งหมายชีวิตของเขาคืออะไร ถ้าจากคำถามข้างต้นที่กล่าวมานี้แบ่งประเด็นไปได้อยู่ในทางแห่งความดี ก็ควรจะรับฟังเขาบ้างเพื่อประโยชน์ของตัวเราเอง.
3. การเดินทางไกลย่อมเจอผู้คนมากมายก่ายกอง ไม่ว่าจะเป็นคนดี คนไม่ดี คนที่ช่วยเหลือ หรือคนที่คอยฉุดเราลงไป แต่ให้นำสิ่งต่าง ๆ ที่เขาสอนกับเราผ่านในรูปแบบที่เขาใช้สิ่งนั้นปฏิบัติตัวต่อเขาเอง นั้นนำไปปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไข ให้เกิดกระบวนการตกผลึกเพื่อนำไปใช้ต่อยอดในชีวิตของเราเอง.
4. ทดสอบจุดยืนที่เรายืนด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง เมื่อไหร่ก็ตามที่มีตัวนำมาทำให้เราเปลี่ยนจุดยืน ก็จะต้องยืดหยัดอยู่ตรงจุดยืนนั้นให้จงได้ ไม่สำคัญว่าจะนานแค่ไหน จะเหนื่อยสักเท่าไร แต่สิ่งที่ต้องทำคือ ยืนจนกว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะกลับสู่สภาวะปกติแล้วก็มั่นคงในจุดยืนต่อไป.
5. ต้นตอของปัญหาส่วนใหญ่ไม่ใช่ ‘ภายนอก’ แต่ล้วนมาจาก ‘ภายใน’ ทั้งสิ้น ทุกสิ่งจะฉุดดึงรั้งไม่ว่าจะเป็น ความคิด จิตใจ หรือแม้กระทั่งความล้มเหลวก็ตาม สิ่งต่าง ๆ จะไม่มาช่วยเราให้ยืนหยัดอยู่ได้ เว้นเสียว่าเราจะมีปัญญาที่สมบูรณ์เพียงพอ ความเข้าใจถูกต่อสิ่งต่าง ๆ จะช่วยชี้ทางสว่างให้เอง.
6. บทสุดท้ายของความสำเร็จจะมีแต่ความว่างเปล่า เราจะไม่เจออะไรบนนั้น แต่สิ่งที่จุดมุ่งหมายทำให้ถึงความสำเร็จนั้นจะมาบอกว่า “ทำวันนี้ให้ดีที่สุด สุดท้ายแล้ว จงดื่มด่ำกับช่วงเวลานั้นๆเถิด คุณคือคนที่ประสบผลสำเร็จไปแล้วในทุกขณะ” ความจริงมีเพียงแค่หนึ่งเดียว จงค้นหาความจริงนั้นด้วยตัวของคุณเอง.