บทเรียนความรักเปรียบเสมือนสังเวียนแห่งการเรียนรู้ในเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ มีบางคนที่สามารถยืนหยัดบนสังเวียนนี้ได้ หรือบางคนก็ไม่สามารถยืนหยัดได้.
บ้างก็ล้มหายตายจากไป ไม่สู้ต่อ บ้างก็ยืนหยัดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน สู้ต่อไปอย่างไม่ลดละเลิก.
ไม่ว่าชีวิตจะเจออย่างไรไม่สำคัญเท่ากับคิดอย่างไรต่อสิ่งที่เราเจอ การเลิกรากันอาจจะไม่ใช่ความเจ็บปวดเสมอไป และการคบหากันอาจจะไม่ใช่ความสุขเสมอไปเช่นกัน.
แบ่งบทเรียนความรักออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนก่อนเจอบทเรียนความรัก และหลังเจอบทเรียนความรัก.
ก่อนเจอบทเรียนความรัก
1. จุดเริ่มต้นของความรัก คือการอยากมีความรัก ทุกคนคงเคยรู้สึกว่าเราอยากจะเป็นคนสำคัญของคนรัก อยากจะมีตัวตนอยู่ในสายตาของคนรักอยู่ตลอดเวลา แต่ทว่า ในความเป็นจริงแล้ว เรา ‘ไม่สามารถ’ จะมีตัวตนในสายตาคนรักได้ตลอดเวลา ก็เพราะบางครั้งคนรักเราเขาก็อาจจะไม่ได้สนใจแค่เราเพียงอย่างเดียว เขาอาจจะสนใจสิ่งอื่นรอบข้างเขามากกว่าเราก็ได้ ให้รู้จักยอมรับมันตามความเป็นจริง.
2. หลายครั้งที่เสียใจ เราก็มักจะโวยวายและด่าทอสิ่งที่มันเป็นไป โดยหารู้ไม่ว่า “ใจเย็น ๆ ก่อนสหาย ยิ่งโมโหจะยิ่งทำให้ความสัมพันธ์แย่ลงนะ” เพราะบางทีเราก็อาจจะเป็นดราม่าควีนที่สวมบทบาทของนางเอกผู้โดนกระทำอยู่ตลอดเวลา ไม่มีเวลาไหนเลยที่จะได้รับความเสมอภาค แต่ในความเป็นจริงแล้วคนเรามักจะ ‘เล่นใหญ่’ กว่าเหตุการณ์จริงอยู่เสมอ ให้รู้จักลดอารมณ์ลงมาบ้าง.
3. ความคาดหวังอยากให้คนรักเป็นได้ดังใจเราทั้งหมด 100% เป็นสิ่งที่เราน่าจะเชี่ยวชาญกันเป็นพิเศษ ก็เพราะอยากให้คนรักเป็นได้ดังใจเราหมดเสียทุกอย่าง บางคนก็เจอคนรักตามใจ บางคนก็เจอคนรักไม่ตามใจ คำว่าพอดีแทบไม่มีในพจนานุกรมของความรักเลย แต่ทว่า หากเราน้อมนำความอ่อนน้อมถ่อมตนมาใช้กับคนรักบ้าง ชีวิตรักก็คงจะดีขึ้นไม่มากก็น้อย จงรู้จักปรับตัวกันคนละอย่างสองอย่างเพื่อความสัมพันธ์ที่ยืนยาว.
4. ปัญหาจะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าเราไม่ ‘หลงตัวเอง’ คิดว่าเราจะเจอคนที่ดีกว่าคนรักในปัจจุบัน หลายคนคงเคยหลงระเริงกับความเป็นวัยรุ่น บางคนหน้าตาดีก็มักจะหลงตัวเองและคิดไปว่า “ฉันจะต้องเจอคนที่ดีกว่านี้สิ คนรักคนนี้เป็นคนที่ฉันก็คบเพื่อฆ่าเวลาแค่นั้นแหละ” และบางคนหน้าตาไม่ดีก็มักจะหลงตัวเองและคิดไปว่า “ฉันมันไม่สวย ชาตินี้คงไม่มีวันเจอคนที่รักฉันจริงหรอก” ทั้งสองสิ่งนี้ไม่ใช่ความจริงแม้แต่น้อย จงเชื่อมั่นในตัวเองอย่างพอดี.
หลังเจอบทเรียนความรัก
1. บุคคลที่ขาดความรัก และเฝ้ารอความรัก รวมถึงแสวงหาความรัก บุคคลนั้นชื่อว่า ‘ไม่เจอรักแท้’ กาลเวลานั้นจะเป็นเครื่องชี้วัดว่า “เราเป็นคนที่สามารถมองเห็นรักแท้ได้หรือไม่” จุดเริ่มต้นของความรักที่แท้จริง ควรจะต้องเริ่มจากตัวเราเองก่อนเสมอ อย่าไปคาดหวังว่าจะเจอใครที่ดีพอสำหรับเรา แต่ให้คิดว่าเรานั้นจะพอดีสำหรับคนรักไหม หากไม่เริ่มต้นที่ตัวเอง ก็จงหมั่นพัฒนาตนเองอยู่เสมอ เพราะคนรักในอนาคตเขาก็ย่อมพัฒนาตนเองไม่แพ้กับเราเช่นกัน.
2. ไม่มีประสบการณ์ความรัก ก็เหมือนคนตาบอดที่มองไม่เห็นทางเดินของชีวิต ประสบการณ์ความรักนั้นมาบอกกับเราว่า เราจงน้อมรับปัญหาความรักในทุกแง่มุมเถิด อย่าปฏิเสธมันเพียงเพราะมันเป็นความทุกข์ ความเหงา หรือความเศร้าเลย ก็เพราะปัญหาเหล่านั้นนี่แหละ ที่ทำให้เราเติบโตขึ้นมา หากไม่มีปัญหาความรัก เราจะเติบโตขึ้นมาแข็งแกร่งได้อย่างไรกัน หากไม่เจ็บปวดในจิตใจ จิตใจนั้นก็ย่อมไม่ต่างกับวุ้นที่รอวันแหลกเหลว.
3. เมื่อเรารู้ชัดแล้วว่า “การที่เราต้องการคนรักไปเพื่อเหตุใด” เราจะเข้าใจว่า “การที่เราต้องการคนรักนั้นก็เพื่อหนีความเบื่อหน่ายในชีวิตประจำวัน หนีครอบครัวที่เราอยู่ ณ ตอนนี้” เพื่อที่อยากมีคนรัก และหวังอย่างแน่วแน่ว่า “การครองคู่นี้ย่อมพบเจอแต่ความสุขสำราญอย่างแน่นอน” ทว่า บทเรียนความรักมาบอกกับเราว่า “ยิ่งหนีความเป็นครอบครัว เพื่อจะไปเป็นสามี และพ่อ หรือเป็นภรรยา และแม่ ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรเลย” จงเรียนรู้การครองคู่กับคนรักว่าไม่ใช่สุขเพียงอย่างเดียว.
4. สังเวียนแห่งความรัก ไม่ใช่มีใครแพ้หรือชนะ หากเป็นแค่สายใยแห่งการโอบอ้อมอารีกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน กรรมการที่ตัดสินความรัก ไม่ใช่เราทั้งสองคน หากเป็นเพียงธรรมชาติที่คอยดูเราอยู่ห่าง ๆ หากเราไม่ได้รักกันจริง ธรรมชาติก็จะเป็นตัวตัดสินว่าเราไม่เหมาะสมกัน หากเรารักกันจริง ๆ ธรรมชาติก็จะเป็นตัวตัดสินว่าเราเหมาะสมกัน สิ่งใดเล่าจะเหมาะสมไปกว่าการที่ทำให้โลกนี้น่าอยู่มากยิ่งขึ้น จงมีความสัมพันธ์ที่คอยดูแลกันและกันอย่างแท้จริง นี่แหละรักแท้ตามธรรมชาติ.