แด่นักเรียนทุกคน

จดหมายนี้เขียนจากประสบการณ์ส่วนตัว และแน่นอนว่ามันอาจจะไม่ได้ดีเลิศเลออะไรมากมาย แต่หากว่าบัณฑิตหรือนักเรียนคนใด สามารถนำไปปรับใช้กับชีวิตได้ล่ะก็ ผมเชื่อว่านักเรียนคนนั้นย่อมประสบความสำเร็จในชีวิต รวมถึงพบเจอแต่สิ่งที่ดียิ่งขึ้นไป.

ชีวิตเริ่มต้นตั้งแต่เรายังไม่ได้ลืมตาดูโลกนี้ และมีแต่พ่อแม่เราเท่านั้นที่รู้ว่าเรากำลังจะเกิดมา เรานั้นเป็นเหมือนแก้วตาดวงใจของพวกเขา และเราก็คือส่วนหนึ่งในครอบครัวนั้นด้วย แต่กว่าจะรู้ความหมายคำว่า ‘ลูก’ ชีวิตเราก็อาจจะสายเกินไปแล้วก็ได้นะ.

อายุตั้งแต่ 1 ปี ไปจนถึง 10 ปี ก็ต้องยอมรับว่า เป็นวัยที่ซุกซนและไม่ได้มีสาระอะไรมากมาย ทว่า สาระสำคัญนั้นคือการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในวัยเด็ก ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มหัดเดิน แล้วทุกครั้งที่หัดเดินก็อาจจะมีการล้มลงไปบ้าง นั่นถือเป็นเรื่องปกติ ล้มแล้วลุก นั่นแหละคือกุญแจแห่งความสำเร็จเลยล่ะ พอเราเริ่มเข้าเรียนอนุบาล เราก็จะพบเจอเพื่อนใหม่ ๆ และแน่นอนว่า เราก็จะไม่ได้รู้สึกว่าอยากไปจากพ่อแม่สักเท่าไรหรอก แต่ชีวิตก็นะ มันต้องเดินหน้าต่อไปเรื่อย ๆ มันไม่สามารถหยุดอยู่กับที่ได้นาน ๆ หรอก.

พอเริ่มเข้าโรงเรียนเราก็จะรู้สึกว่า การไปเจอเพื่อนใหม่ ๆ มันน่ากลัวจริง ๆ เลย มันเป็นวันที่ย่ำแย่สำหรับเด็กคนนึง ที่ไม่รู้ประสีประสาอะไร และก็พบคนแปลกหน้าคนหนึ่งที่เรียกว่า ‘คุณครู’ ที่จริงการเป็นนักเรียนมันก็ดีเหมือนกัน เพราะว่าการเป็นนักเรียนเหมือนเราได้เรียนรู้บทบาทใหม่ ๆ นอกจากเป็น พี่น้อง ก็มาเป็นลูกศิษย์ นั่นคือบทบาทแรก ๆ ที่ทุกคนต้องเป็นกัน.

ชีวิตดูเหมือนจะราบรื่นไม่มีปัญหาใด ๆ มากวนใจทั้งสิ้น ทว่า จุดเริ่มต้นมันอยู่ที่ตรงนี้แล้วล่ะ เมื่อเราเข้าสู่วัยรุ่น หนทางอันยาวไกลก็เหมือนเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นการท่องโลกของคลังความรู้ที่เต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็น เพื่อน ความรักในวัยเรียน หรือว่าเจอเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ทำให้เราได้เติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ.

อายุตั้งแต่ 11 ปี ไปจนถึง 20 ปี เป็นช่วงที่หัวเลี้ยวหัวต่อสุด ๆ คงไม่มีใครไม่เคยทะเลาะกับพ่อแม่ และคงไม่เคยมีใครไม่เคยทะเลาะกับเพื่อน ปัญหาเริ่มเกิดขึ้นเมื่อสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตมาบอกกับเราว่า “สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่เราจะบังคับมันได้นะ” เมื่อเราคุ้นเคยกับการบังคับตัวเราเอง ไม่ว่าจะหัดเดิน หัดกิน หัดเล่น หรือแม้กระทั่งหัดที่จะรัก และครอบครองสิ่งนั้นบ้าง.

เด็กน้อยคนนึงที่เติบโตขึ้นมาวันแล้ววันเล่า มันเป็นเวลาที่ช่างแสนยาวนานซะเหลือเกิน เด็กวัยรุ่นก็มีความมั่นใจแบบวัยรุ่น รวมถึงเราก็มั่นใจสุด ๆ เลยแหละว่า เรานี่โตแล้ว เป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่จริง ๆ มันไม่ใช่แบบนั้นเลยซะทีเดียว สิ่งที่ผมจะแนะนำเริ่มต้นที่วัยนี้เป็นต้นไป.

ปัญหาเรื่องครอบครัว

หากว่าเรามีปัญหาเรื่องครอบครัว จงมองดูตัวเองก่อนเสมอว่า เราเป็นคนอารมณ์ร้อนหรือไม่ การจะไปเถียงพ่อแม่ ต้องดูเหตุผลก่อนเป็นอันดับแรก บางครอบครัวอาจจะตามใจเรา แต่บางครอบครัวอาจจะไม่ได้ตามใจเรา เพราะเหตุผลบางประการ ปัญหาในครอบครัวส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะความรักที่มีให้กันลดน้อยลง อารมณ์ของวัยรุ่นก็พลุ่งพล่านตามไปด้วย มันจะทำให้ทุกอย่างดูเลวร้ายมากกว่าที่เป็นจริงเสมอ จนบางทีทำให้เรามีความคิดอยากออกจากบ้านไป และเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะหนีออกจากบ้าน แต่เป็นเวลาที่ต้องพิจารณาว่า เราควรทำสิ่งใดมากที่สุด ณ ตอนนี้.

หากว่าเราไม่มีปัญหาเรื่องครอบครัว นั่นก็ถือว่าเป็นสิ่งที่หาได้ยากในโลก เพราะครอบครัวที่มอบความรักให้กันอย่างแท้จริงนั้นหาได้ยากยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นตัวผู้ใหญ่ หรือตัวเด็กเอง ทุกคนล้วนแต่ต้องการคนมาเข้าใจด้วยกันทั้งนั้น หากว่าเราเข้าใจกันและกัน เรียนรู้กันและกันได้อย่างแท้จริง ปัญหาในครอบครัวก็จะอันตรธานไปอย่างแน่นอน.

สำหรับครอบครัวที่มีปัญหาอย่างหนักหน่วงจริง ๆ จำเป็นจะต้องหาบุคคลที่ไว้ใจได้จริง ๆ และไปปรึกษาเขาอย่างจริงจัง เพื่อที่จะหาทางออกให้กับชีวิตของเรา เพราะปัญหาครอบครัวเป็นปัญหาที่แก้ยากที่สุดในบรรดาปัญหาชีวิตทั้งปวง ทั้งนี้การเผชิญหน้ากับปัญหา และโอบกอดปัญหาเริ่มต้นที่วัยนี้ได้เลย ไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นในวัยอื่น.

ปัญหาเรื่องเพื่อน

หากว่าเรามีปัญหาเรื่องเพื่อน จงมองดูให้ดีว่าเราสามารถทำอะไรได้บ้างไหม ความผิดพลาดที่เพื่อนมองเรานั้นหนักหนาเพียงใด ถ้าแก้ไขได้จงแก้ไขให้เร็วที่สุด แต่หากว่าแก้ไขไม่ได้ก็จงวางเฉยเสีย เคล็ดลับที่ไม่ลับ คือการปรับตัว ทำให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ เมื่อตอนที่ไม่มีเพื่อนจงตั้งใจเรียน และเมื่อตอนมีเพื่อนจงลดความตั้งใจเรียนลงนิดนึง เพื่อให้สอดคล้องกับการมีเพื่อน.

หากว่าเราไม่มีปัญหาเรื่องเพื่อน นั่นก็ถือว่าราบรื่นพอสมควรเลยล่ะ เพราะปัญหาอันดับ 1 ของวัยรุ่นคือเรื่อง ‘เพื่อน’ และมันก็หนีไม่พ้นจริง ๆ ที่จะไปให้คำปรึกษากับเด็กวัยรุ่นว่า “อนาคตมีสิ่งที่น่ากลัวกว่าการไม่มีเพื่อนเยอะ” วัยรุ่นก็คงทำตาปริบ ๆ แล้วคิดในใจว่า “ก็เพื่อนไม่คบกับเรา แล้วใครมันจะอยากไปโรงเรียนกันล่ะ”.

ดีหรือแย่นั้น ยากที่จะบอกได้ เมื่อมีเพื่อนมันเหมือนจะดี แต่ก็ยังไม่ใช่วันที่จะมั่นใจได้ว่า ‘เพื่อน’ คือสิ่งที่สำคัญตลอดไป และแน่นอนว่า วันนี้ดีใช่ว่าวันหน้าจะต้องดีเหมือนวันนี้ซะเมื่อไหร่กัน จงอย่าประมาทในการคบหาเพื่อน เพื่อนที่ดีจะนำพาชีวิตที่ดีไปได้ และเพื่อนที่แย่จะนำพาชีวิตให้แย่ลงไปได้เช่นกัน.

ปัญหาเรื่องความรัก

หากว่าเรามีปัญหาเรื่องความรัก จงมองดูให้ดีว่าเรากำลังหลงเขาหรือว่ารักเขาจริง ๆ วัยรุ่นมักจะมองตัวเองว่าการคบหาเพียง 1 เดือน 2 เดือน หรือแม้แต่ 3 เดือน เป็นเวลาที่ยาวนานมาก ๆ เลยล่ะ แต่ไม่ได้จะว่า ว่ามันไม่ยาวนาน แต่ความรู้สึกว่านานนี้ มันไม่ได้ทำให้ชีวิตเข้าใจอะไรเกี่ยวกับความรักเลยซะมากกว่า เมื่อมีปัญหากับคนรัก จงมองดูตัวเองและถามตัวเองอยู่เสมอว่า “ทำไมเราถึงทุกข์ใจเรื่องความรัก หรือเรายังไม่พร้อมที่จะมีความรัก”.

สำรวจและสังเกตตัวเองอยู่เสมอ ดังเช่น ผู้ใหญ่มักจะเตือนเด็ก ๆ เสมอว่า “อย่าชิงสุกก่อนห่ามนะ” มันก็หมายถึงว่า วัยนี้ไม่จำเป็นต้องรีบมีความรักหรอก ตั้งใจเรียนไปก่อนดีกว่าไหมล่ะ วันนึงเดี๋ยวก็มีความรักเข้ามาเองแหละ แล้วจะบอกว่าคำนี้ก็เป็นคำที่จริงอย่างยิ่ง เมื่อวัยที่ยังไม่พร้อมกับการมีความรัก ความผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นมาอย่างมหาศาล และแน่นอนเราไม่สามารถคาดคิดได้เลยว่า ปัญหานี้จะหยุดอยู่ตรงไหนหรือที่ใด.

หากว่าเราไม่มีปัญหาเรื่องความรัก นั่นก็ถือว่าเป็นสิ่งที่น่ายินดี แต่ก็อย่าเพิ่งพอใจ เพราะรักในวัยเรียน เหมือนจุดเทียนกลางสายฝน คำพูดตอนเด็ก ๆ ที่เพื่อน ๆ ชอบหยอกล้อกันเล่นเป็นประจำ แล้วก็ดูเหมือนว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็ในเมื่อเรายังไม่มีฐานะอันมั่นคง แถมยังไม่บรรลุนิติภาวะใด ๆ เลย การคบกันตอนนี้ถ้ามันไปในทิศทางที่พัฒนาชีวิตขึ้นไปได้จริง ก็ถือว่าไม่เสียหายอะไร แต่อย่างน้อยอย่าลืมที่จะมีสติในการคบหากันด้วย.

ปัญหาเรื่องการเรียน

หากว่าเรามีปัญหาเรื่องการเรียน จงมองดูว่าเรากำลังเรียนหนักเกินไปไหม หรือว่าเรากำลังติดเพื่อน หรือติดแฟนมากจนเกินไป การตั้งใจเรียนเป็นสิ่งที่ดีในตอนนี้ การโฟกัสจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เมื่อไหร่ก็ตามที่เราวอกแวก ผลการเรียนก็ย่อมสะท้อนออกมาเสมอ จงปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลง ขอแต่เพียงเราทำให้มันดีที่สุดแล้วจริง ๆ เพราะการเรียนมันเหมือนสายลมที่พัดผ่านไป หากไม่ดื่มด่ำกับมัน มันก็จะผ่านเลยไปอย่างน่าเสียดาย.

หากว่าเราไม่มีปัญหาเรื่องการเรียน นั่นก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีเรื่องหนึ่งในชีวิตเลยล่ะ เราอาจจะเป็นคนเก่ง เป็นคนหัวไว และเราก็มีเป้าหมายอยากเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง เพื่อที่อนาคตจะได้มีหน้าที่การงานที่มั่นคง หลังจากนั้นพ่อแม่ ญาติ พี่น้อง ก็พลอยยินดีไปด้วย เมื่อไหร่ที่เราพยายามเรื่องเรียนแล้วเราประสบความสำเร็จ ก็ต้องอย่าลืมว่าความสำเร็จอาจจะดีใจได้แค่วันเดียว เพราะการเริ่มต้นของชีวิตจริง ๆ มันยังไม่ใช่ตอนนี้ด้วยซ้ำไป.

ถ้าหากยังเรียนไม่จบ หรือเรียนจบไปแล้ว สิ่งที่สำคัญไม่ใช่อยู่ที่ใบปริญญา ไม่ได้อยู่ที่มหาวิทยาลัยที่ได้เข้าไปศึกษา แต่หากเป็นการดึงศักยภาพของตัวเองได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด หรือแห่งหนใดก็ตามแต่ นั่นคือหนทางของการ ‘รู้จักตัวเอง’ อย่างแท้จริง เพราะคนที่ประสบความสำเร็จ หาใช่ดูที่มหาวิทยาลัยอย่างเดียวไม่ หากเพียงดูถึงทัศนคติ วิสัยทัศน์ และที่สำคัญกว่านั้นคือการตระหนักรู้เชิงคุณค่าต่อสังคมด้วย.

ช่วงวัยต่อมา อายุตั้งแต่ 21 ปี ไปจนถึง 30 ปี เป็นช่วงวัยที่เรียนจบปริญญาตรีแล้ว บางคนเรียนสายอาชีพ อาจจะจบตั้งแต่อายุก่อน 20 ปี หรือบางคนอาจจะทำงานตั้งแต่จบ ม.ปลาย ไม่ว่าเราจะอยู่ตรงจุดไหน เราได้เริ่มต้นใช้ชีวิตอย่างแท้จริง ก็ตอนอายุหลัง 21 ปีไปแล้ว เพราะนี่คือจุดเริ่มต้นของชีวิตในวัยรุ่นตอนปลายอย่างแท้จริง การเรียนรู้จะเริ่มนับหนึ่งใหม่ เพราะวัยเรียนกับวัยทำงานแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง.

ปัญหาเรื่องการทำงาน

หากว่าเรามีปัญหาเรื่องการทำงาน จงมองดูว่าเรากำลังตั้งใจมาทำงานผิดวิธีหรือเปล่า คนส่วนใหญ่วาดฝันเอาไว้ก่อนเรียนจบไว้เยอะมากว่า ถ้าเรียนจบสูง ๆ จะได้ตำแหน่งหน้าที่การงานที่มั่นคง แต่ช้าก่อน เกรดไม่ได้การันตีถึงความสบายอีกต่อไปแล้ว ในอดีตรุ่นพ่อ รุ่นแม่ หรือรุ่นตา รุ่นยาย อาจจะนำความคิดเหล่านั้นมาใช้ได้อยู่ แต่ ณ ตอนนี้ ยุคสมัยได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง อย่ายึดติดกับขนบธรรมเนียมเดิม ๆ เพราะบริษัทมากมายไม่ได้ดูที่มหาวิทยาลัย ไม่ได้ดูที่เกรด แต่กลับดูที่ ‘ประสบการณ์ทำงาน’ การฝึกงานจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ.

หากว่าเราไม่มีปัญหาเรื่องการทำงาน นั่นก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดูเหมือนจะดี ทว่า มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป หากการที่เรามีปัญหาในการทำงานอย่างพอดีนั้น จะเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะปัญหานำมาซึ่งการปรับตัว และการปรับตัวต่อปัญหานำมาซึ่งผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ ถ้าเรารู้สึกว่าที่ทำงานนี้ดูสบายมาก แนะนำให้หาสิ่งที่ยากขึ้น ไม่แนะนำให้หาบริษัทที่เรานั่งอยู่เฉย ๆ แล้วเจ้านายชื่นชมเราว่าทำงานได้ดีเยี่ยม เพราะในอนาคตเราจะตายหยังเขียดแน่ ๆ.

ส่วนคนที่เจอปัญหาเรื่องการทำงานอย่างหนักหน่วง และเพื่อนที่ทำงานไม่ได้เป็นอย่างที่หวังไว้ รวมถึงมีวัฒนธรรมที่ต่อให้เราฝึกฝนแค่ไหนหรือเรียนรู้แค่ไหน ก็ไม่สามารถทัดเทียมกับพวกเขาได้ ก็ขอให้จงมีเป้าหมายในการทำงานครั้งนั้น ๆ ว่า “เราจะอดทนทำงานไปจนกว่าเราจะเรียนรู้งานได้” หรือว่า “เราจะเก็บเงินสักก้อนเพื่อที่จะไปสานต่อธุรกิจส่วนตัวของเรา” สิ่งเหล่านี้ทำให้เรามีพลังต่อสู้มากกว่าเดิม และที่สำคัญไปกว่านั้น เราต้องระลึกเสมอว่า “ไม่มีวัฒนธรรมใด ดี 100% ทุกวัฒนธรรมล้วนแต่มาเป็นบทเรียน บททดสอบ และการเรียนรู้ในชีวิตด้วยกันทั้งสิ้น”.

ปัญหาเรื่องการหาคู่ครอง

หากว่าเรามีปัญหาเรื่องการหาคู่ครองไม่เจอ หรือว่าอายุเริ่มเยอะแล้ว มีความรู้สึกอยากแต่งงานขึ้นมาซะงั้น และบางทีพ่อแม่ก็อาจจะเร่งรัดว่า ให้รีบหาแฟนเพื่อจะได้มีลูกทันใช้ ฯลฯ จงมองดูว่าเราเรียนรู้ความรักจากตอนวัยรุ่นมาได้มากน้อยเพียงใด แต่วัยรุ่นบางคนอาจจะยังไม่เคยมีแฟน การจะหาคู่ครอง + การมีความรัก จะเริ่มยากขึ้นอย่างยิ่ง เพราะเราจะต้องเรียนรู้ทั้งการรักฝ่ายตรงข้าม รวมถึงการหาคู่ครองอย่างแท้จริงด้วย คนโสดในช่วงวัยนี้เหมือนจะดูดี แต่ก็แน่นอนว่า โสดมามากเกินไปก็อาจจะไม่ได้ดีอย่างที่คิด เพราะคนส่วนใหญ่เริ่มมีความรักตั้งแต่ อายุ 18 19 และ 20 กันไปหมดแล้ว ที่สำคัญเราอายุ 21 แต่ยังไม่เคยมีแฟนเป็นตัวเป็นตน อาจจะต้องเพิ่มความคิดในการคบหาใครสักคน และลองปล่อยใจไปบ้างนิดนึง.

หากว่าเราไม่มีปัญหาเรื่องการหาคู่ครอง และมีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้ว ปัญหาหลังจากนี้คือการจะใช้ชีวิตกับแฟน แล้วไม่ให้พ่อแม่รู้ ส่งผลให้อาจจะเริ่มคิดหนักพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวแฟนให้พ่อแม่รับรู้ เริ่มวางแผนชีวิตกันไปสักระยะหนึ่ง การมีแฟนช่วงนี้ถือว่ามีความสุขมากที่สุดแล้ว สิ่งที่อยากจะแนะนำคือ อย่าประมาทคิดว่าแฟนเป็นสิ่งที่หาง่าย มีหลายคนที่ยังไม่เคยมีแฟน และมีหลายคนที่ยังไม่เคยได้สัมผัสกับความรักมาก่อน อย่าใช้ชีวิตเหมือนเก้าอี้ดนตรีที่พอใกล้จะถึงอายุ 30 ปี แล้วเอาคนที่ลุกช้าสุดมาแต่งงานด้วย นั่นไม่ใช่เรื่องที่สนุกสนานเหมือนไปสวนสนุกนะ.

ตอนนี้เป็นช่วงที่เราจะเพิกเฉยต่อการหาคู่ครองมากที่สุด และแน่นอนว่าช่วงวัยนี้เป็นวัยที่ “เจอแฟนง่ายที่สุดในสามโลก” ถ้าหากว่าไม่เจอช่วงนี้ ก็อาจจะยากสักหน่อย เอาเป็นว่ารู้จักคนเยอะก็ไม่เสียหายอะไร เรียนรู้คนที่เราคบหาด้วย เพราะการคบหาดูใจกัน หรือที่เรียกว่า ‘คนคุย’ มันทำให้เรารู้ว่า คนนี้เขามีความคิดความอ่านอย่างไรบ้าง หรือรู้ว่าเราจะชอบคนแบบไหนจริง ๆ ให้พิจารณาแต่ละคน สังเกตการณ์แต่ละคน ด้วยความละเอียดถี่ถ้วน และลองคบหาเป็นคน ๆ ไป นั่นคือการศึกษาดูใจกันอย่างเหมาะสมที่สุดแล้วล่ะ.

ยุคสมัยนี้หาคู่ออนไลน์จะทำให้เราคิดไปเองว่า “หาคนคุยนี่หาไม่ยากเลย แต่หาแฟนนี่สิหายากมาก” แล้วคำตอบในสิ่งที่เรารู้สึกนั้นจะไม่โกหกเราอย่างแน่นอน ก็เพราะเราอยู่ในยุคที่หาคู่กันง่ายกว่าหาเงินเสียอีก สมัยก่อนโอกาสหาเงินจะง่ายกว่าการหาคู่ มันเลยทำให้เราสับสนว่า เราควรจะมีทิศทางไหนบ้างในการเลือกคู่ชีวิต และคำตอบที่ง่ายสุดก็คือ “เลือกคนที่เขารักตัวเองเป็น”.

รู้จักพื้นฐานของมนุษย์ คือหนทางสู่การหาคู่ครองอย่างถูกวิธี จงเรียนรู้ว่าการจีบกันไม่ใช่ความรักที่แท้จริง เพราะความรักที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากการร่วมสุขโดยส่วนเดียว หากเพียงเกิดจากการร่วมทุกข์ด้วยเช่นเดียวกัน ลองสร้างสถานการณ์พิสูจน์รักแท้ขึ้นมา ในกรณีที่ถ้าหากว่าไม่มีเหตุการณ์ที่จะร่วมทุกข์ได้เลย อย่างเช่น ไปช่วยคนยากไร้ ไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ไปบ้านพักคนชรา ลองไปใช้ชีวิตด้วยการไปเที่ยวต่างประเทศ หรือว่าการไปต่างจังหวัดที่ไกลปืนเที่ยงหน่อย มันก็ยังพอช่วยสังเกตได้บ้างไม่มากก็น้อย.

สำหรับกรณีที่พ่อแม่หวงเรามาก ๆ โดยเฉพาะเราเป็นลูกผู้หญิง หรือลูกผู้ชายก็ตามแต่ ก็ขอให้บอกพ่อแม่ไปตามความเป็นจริง แบบเท่าที่บอกได้ และบ่ายเบี่ยงที่จะตอบไปทั้งหมด จริง ๆ แล้วมันเป็นการกระทำที่ไม่สมควร แต่การที่เราทำแบบนี้ก็เพราะ เรารู้ว่าถ้าเราบอกไปทั้งหมด พ่อแม่จะต้องเป็นห่วงเรา เราอาจจะบอกเพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้แทน หรือญาติเราที่เขาพึ่งพาได้ คนนอกจากครอบครัวอาจจะเข้าใจเรามากกว่าก็ได้ สมมุติเกิดกรณีเลวร้ายขึ้นมาระหว่างที่เราไปกับแฟน พ่อแม่ก็ยังจะไปช่วยเราได้ เพราะท่านเป็นห่วงเรามากที่สุด และมากกว่าแฟนเราแน่นอน.

คำแนะนำทั้งหมดทั้งมวลนี้แด่นักเรียนทุกคน และสิ่งที่บัณฑิตต้องพึงกระทำอย่างยิ่งเลยคือ การใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ อย่ากลัวความล้มเหลว เพราะความล้มเหลวคือสิ่งที่ทำให้เราเรียนรู้ได้ว่า อะไรคือสิ่งที่ ‘ถูก’ และ อะไรคือสิ่งที่ ‘ผิด’ การลองใช้ชีวิตไม่ใช่เป็นเรื่องเลวร้าย หากเพียงเราอยู่ภายใต้กรอบของ ‘จุดยืนในความดี’ นั่นจะเป็นครรลองชีวิตของเราในอนาคต กล้าที่จะเริ่มต้นใหม่ อย่ากลัวที่จะจบความสัมพันธ์ เพราะความสำเร็จในชีวิตไม่ใช่การมีคู่ครองที่ดี พ่อแม่ที่เข้าใจเราไปหมดทุกอย่าง หรือว่าการมีเพื่อนตลอดทุกเทอม และทุกปีการศึกษา แต่ความสำเร็จคือสิ่งที่เรานำความ ‘ผิดพลาด’ กลั่นกรองและ ‘ตกผลึก’ เป็นความเข้าใจในชีวิตได้อย่างแท้จริง.