#67 ความรู้สึกหลังความตาย

ความรู้สึกหลังความตาย

วันนี้กับวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ไม่มีใครล่วงรู้ได้ แล้วไฉนการที่ความรู้สึกหลังความตาย เราจะสามารถล่วงรู้ได้จริง หากมันเป็นเพียงแค่คำถาม เราทุกคนจะร่วมหาคำตอบกันได้อย่างไร วิธีคิดอาจจะสำคัญสุด แล้วมันไม่ได้อยู่ที่จะตั้งคำถามนั้นอย่างไร แต่มันอยู่ที่ว่าเราคิดอย่างไรกับคำถามนั้น ๆ เสียมากกว่า มันเป็นการเปิดประสบการณ์ที่จะตั้งคำถามว่า ถ้าวันนี้เป็นแบบนี้ แล้ววันพรุ่งนี้จะยังเป็นแบบที่เป็นอยู่หรือเปล่า.

ไม่มีอะไรคงอยู่ตลอดไป

เมื่อมีวันนี้ ก็ย่อมจะต้องมีวันพรุ่งนี้ อันนี้คิดแบบจำลองความคิดแบบมูลเหตุที่คงอยู่ก่อน แล้วคิดไปว่าพรุ่งนี้ก็ยังคงดำเนินต่อไปแบบเดิม ทว่า คำว่าวันนี้กับพรุ่งนี้ย่อมไม่มีวันบรรจบกันและเมื่อวันนี้หมดลง พรุ่งนี้ก็ย่อมผิดแผกไปจากวันนี้อยู่ดี ไม่มีเหตุผลใดที่เราจะไปตั้งคำถามว่า ทุกวันย่อมต้องเป็นเหมือนกัน ก็ในเมื่อสถานการณ์ และตัวตนของเราก็ย่อมถูกปรับเปลี่ยนไปตามสภาวะต่าง ๆ ที่เราพานพบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน การเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งเป็นของคู่โลก แล้วเราก็คือส่วนหนึ่งของจักรวาลนี้เท่านั้น ไม่มีอะไรคงอยู่ตลอดไปแม้กระทั่งสิ่งที่เราเป็น เรามี หรือเราต้องการให้มันเป็นไป ความบรรจบกันของวันเวลาจึงไม่สามารถเป็นไปได้เลย.

เพียงแค่เราลองทำวันนี้ให้ดีที่สุด วันพรุ่งนี้ก็จะดีเอง หากประโยคนี้เป็นเพียงแค่คำพูดที่ไม่มีแก่นสาร เราก็อาจจะไม่ต้องไปตามหาคำตอบต่อไป เพราะเรามักจะคิดเอาเองว่า ทำดีวันนี้แล้วมันจะไปเกี่ยวอะไรกับวันพรุ่งนี้ แต่แล้วการที่เราเข้าใจว่า การทำดีวันนี้ ก็คือจบไปวันนี้ ส่วนวันพรุ่งนี้ก็คืออีกวันหนึ่งเท่านั้น แล้วมันจะต่อเนื่องกันไหม หรือแยกขาดออกจากกันก็ไม่ได้มีความสลักสำคัญใด ๆ ต่อตัวเราอยู่ดี แต่กระนั้นเราจึงไม่ได้ตั้งคำถามกันว่าถ้าวันนี้ดี แล้ววันพรุ่งนี้จะดีจริงอย่างที่ทำไปเมื่อวานไหม แต่กลับกลายเป็นให้ใส่ใจที่จะทำดีวันนี้ แล้วสุขวันนี้ก็พอแล้ว ส่วนวันพรุ่งนี้ถ้าอยากมีความสุขอีกก็แค่ทำดีอย่างวันก่อน หรือว่าอย่างสิ่งที่เราตั้งใจไว้ก็เท่านั้นเอง อยู่กับปัจจุบันก็คือวันนี้พอ.

ปัจจุบันนี้สำคัญสุด

การอยู่กับปัจจุบันก็คือการอยู่กับวันนี้ แล้ววันพรุ่งนี้ก็คือวันที่มันไม่เคยมาถึงจริง ๆ มันเป็นเพียงแค่ภาพจำและความทรงจำในทุกวันว่า วันนี้มีอยู่ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่มีอะไรมีอยู่เลย ทุกขณะที่เราผ่านไปก็ย่อมผ่านไป ณ เวลานี้ที่กำลังเขียนบทความนี้ก็ย่อมหมดไปเช่นกัน สรุปแล้วเวลาก็ไม่มีอยู่จริง เพราะมันคือการตั้งอยู่ของห้วงเวลาช่วง ๆ หนึ่งเท่านั้น อธิบายง่าย ๆ ก็คือเวลามีอยู่เพราะเราคิดว่ามีอยู่เท่านั้นเอง การวนเวียนของชีวิต นั่นจึงเกิดเป็นภาพจำว่าวันนี้มี พรุ่งนี้จึงมี รวมไปถึงชีวิตหลังความตายก็ย่อมมี เพราะเราเชื่อว่าหลังจากตายไปแล้ว ชีวิตหลังความตายก็มีโอกาสสูงที่จะเป็นไปได้ แล้วมันก็จะไปเชื่อมโยงกับการเวียนว่ายตายเกิด กฎแห่งกรรม รวมไปถึงความเชื่อว่าการทำดีย่อมได้ดี การทำชั่วย่อมได้ชั่ว.

ส่วนความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ก็ย่อมเป็นอีกส่วนขยายหนึ่งของเวลา สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถพิสูจน์ได้จริง เพราะมันขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละบุคคล ตัวแปรหลักของความเชื่อนี้ก็ต้องมาจากการสังเกตว่าทำไมคนเราเกิดมาไม่เท่ากัน แสดงว่าสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นย่อมมีเหตุผลเสมอ ไม่ได้เกิดขึ้นลอย ๆ อย่างสิ่งที่เราไม่เคยเข้าใจ บางอย่างอาจจะต้องทำความเข้าใจว่าตัวแปรรองของความเข้าใจ ก็คงเป็นความเชื่อในหลักเหตุและผล ไม่ได้คิดว่าทุกสิ่งไร้ซึ่งเหตุผล แต่คิดว่าเรามีหน้าที่ต้องเอาตัวเองเข้าไปทำความเข้าใจธรรมชาติหรือโลกใบนี้ ไม่ใช่ให้โลกนี้ ธรรมชาตินี้ มาทำความเข้าใจเรา ความรู้แบบหยั่งรู้ย่อมปรากฏกับบุคคลที่อ่อนน้อมต่อสรรพสิ่ง.

อนาคตจะถูกเปลี่ยนแปลง

กรณีที่เราตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงอนาคต แล้วต้องการให้ความรู้สึกในอนาคตเป็นสิ่งที่ชัดเจน ก็ต้องย่อมรับรู้ว่าวันนี้เป็นเรื่องของความเข้าใจทั้งหมดทั้งสิ้น ถ้าเราไม่เข้าใจวันนี้ พรุ่งนี้ก็ย่อมเป็นความไม่รู้สืบไป เหมือนว่าถ้าเราต้องการจะเปลี่ยนแปลงอนาคตเราก็ต้องเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงวันนี้ เหตุนำมาซึ่งผล ถ้าต้องการให้ความรู้สึกหลังความตายเป็นความสุข วันนี้ก็ต้องหาความสุขให้ได้ก่อน แล้วอนาคตก็จะดีไปเอง แต่กระนั้นความจริงอาจจะไม่ใช่แบบนั้นก็ได้ ก็ให้ลองฝึกตั้งคำถามไปว่า ในท้ายที่สุดชีวิตเราจะยังเป็นเหมือนเดิม หรือถูกเปลี่ยนแปลงไปเพราะเหตุผลใด แต่อย่างน้อยที่สุด อนาคตจะไม่หลุดกรอบเดิมไปไกลอย่างแน่นอน.

การเดินวนเวียนไปยังห้วงของเวลาย่อมเป็นเรื่องปกติสามัญ เพราะเวลาไม่มีจุดสิ้นสุด เวลานั้นเป็นอนันต์ที่ไม่มีวันบรรจบกัน เป็นคำสวยหรูของคำที่ว่า สิ่งใดที่ต่อให้พยายามแค่ไหนก็ไม่มีวันมาถึง ก็คือวันพรุ่งนี้ หากเพียงแค่วันพรุ่งนี้ย่อมไม่มีวันเป็นจริงได้ มันเป็นวันนี้และจบลงที่วันนี้ แล้วก็อยู่ ณ วันนี้ต่อไปอีกอย่างไม่รู้จบ ภาพลวงตาของวันพรุ่งนี้ก็คือการที่เรารอคอยวันนี้ให้มันไปถึงวันพรุ่งนี้ แล้วคาดหวังว่าให้ชีวิตนั้นดีขึ้นตลอดเวลา โดยหารู้ไม่ว่ามันจะไม่มีคำว่าวันพรุ่งนี้ฉันจะเริ่มต้นทำ ฉันจะเปลี่ยน ฉันจะมีความสุข ก็เหตุมันเกิดจากวันนี้ แล้ววันพรุ่งนี้มันจะเป็นไปได้ยังไงล่ะ โดยข้อสรุปเท่าที่คิดได้นั่นก็คือ อนาคตจะเกิดจากวันนี้ แล้ววันนี้คือวันที่กำหนดอนาคต.

เราต้องจบที่วันนี้

ไม่มีเหตุผลใดที่เราต้องให้พรุ่งนี้เกิดขึ้น เพราะมันไม่มีวันพรุ่งนี้จริง ๆ เรากำลังโดนเวลาลวงเราอยู่ตลอด แต่ถ้าเราต้องการจะมีความสุข ก็ให้เริ่มต้นทำที่วันนี้เลย ณ ตอนนี้ที่อ่านบทความนี้เลยได้ยิ่งดี สิ่งใดเกิดขึ้นสิ่งนั้นย่อมมีเหตุผลเสมอ ไม่มีใครบังเอิญเข้าใจตัวเอง และไม่มีใครบังเอิญเจอสิ่งที่ดีต่อชีวิต ทุกอย่างถูกสร้างมาอย่างแนบเนียน แยบยล เสมือนว่ามันถูกรังสรรค์อย่างงดงามด้วยธรรมชาติ ที่ต้องการให้มันเป็นไปอย่างยอดเยี่ยม ศิลปะของธรรมชาติมิได้เป็นเพียงแค่การเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป แต่มันหมายถึงการใช้เวลาทั้งหมดนี้เพื่อทำความเข้าใจจริง ๆ ตระหนักรู้ถึงข้อมูลที่เป็นอย่างนั้น ไม่ได้เป็นอย่างสิ่งที่ใจเราปรารถนา.

ความรู้สึกในวันนี้ ย่อมจบลงในวันนี้ พรุ่งนี้คือวันที่ไม่เคยบรรจบกับวันนี้จริง ๆ ให้ลองมีสติในการใช้ชีวิตประจำวัน ทุกอย่างต้องเริ่มที่วันนี้แล้วจบลงในวันนี้ ภาพจำเท่านั้นที่จะยังคงอยู่ต่อไปอีกวันถัดไป อนาคตเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง แต่มันก็มาจากวันนี้ ถ้าวันนี้ไม่เข้าใจ พรุ่งนี้ก็ย่อมไม่เข้าใจอยู่ดี ให้เข้าใจว่าวันนี้ควรจะเข้าใจอะไร แล้วอีกวันหนึ่งก็ย่อมเป็นส่วนต่อขยายของวันนี้ไปอีกเรื่อย ๆ ให้ลองเลือกที่จะใช้เวลานี้อย่างคุ้มค่าที่สุด ใช้ชีวิตอย่างสิ่งที่คิดว่าพรุ่งนี้ไม่มีอยู่จริง ทำปัจจุบันขณะให้เหมือนว่าเราจะฝากชีวิตไว้กับอนาคต แล้วไม่มีอะไรจะขวางกั้นจากปัจจุบันได้เลย นั่นแหละจะเป็นคำตอบสูงสุดของชีวิต ก็คือเราต้องจบที่วันนี้เลย.