ชีวิตเป็นส่วนต่อขยายของสิ่งที่เรายืนอยู่ ซึ่งหลายครั้งหลายครามนุษย์ก็จะผิดพลาดตรงจุด ๆ เดิมซ้ำ ๆ ก็เป็นเพียงเพราะเราไม่สามารถรับรู้ถึงแง่มุมของความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งล้วนเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา ไม่มีสิ่งใดคงทนและถาวร เมื่อความเป็นจริงปรากฏเด่นชัดมากขึ้น การยึดติดถือมั่นต่อสิ่งใดตลอดไป จะรังแต่ทำให้ชีวิตนั้นขมขื่นมากกว่าชื่นมื่น หนทางจึงเป็นแค่จุดเริ่มต้น เพราะปลายทางย่อมต้องปล่อยวางอยู่ดี.
จุดเริ่มต้นคือจุดยืน
สิ่งมีชีวิตมากมายต้องการเป้าหมายในชีวิต แล้วเมื่อเราต้องมีเป้าหมาย เราก็ต้องมีที่ยึดที่เกาะเอาไว้ บางทีก็เรียกว่าจุดยืน บางทีก็เรียกว่าความยึดติด เมื่อเราเรียกสิ่ง ๆ หนึ่งว่าเป้าหมายโดยนัยที่แตกต่างกัน สภาวะก็ย่อมต้องแตกต่างเฉกเช่นเดียวกัน ณ วันนี้มนุษย์นั้นก็ย่อมต้องสร้างจุดยืนขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการมีชีวิตเพื่อหารายได้และเงินทองมากมาย หรือบางคนก็มีเป้าหมายเพื่อไปยังอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น หรืออดีตเกิดขึ้นไปแล้วบ้าง ทุกสรรพสิ่งล้วนบ่งบอกไปยังทิศทางเดียวกันเสมอว่า เราไม่สามารถมีเป้าหมายโดยปราศจากการยึดมั่นถือมั่นต่อสิ่งนั้นได้เลย เสมือนว่าเรายึดติดกับสิ่งนั้นเพราะว่าเราต้องพึ่งพามันอยู่ในตอนนี้.
เสมือนว่าเราต้องยึดไว้แต่ไม่ให้ติดมัน หากวันใดวันหนึ่งเราไม่ต้องใช้จุดยืนนี้แล้ว เราก็เพียงแค่ละคลาย หรือปล่อยวางต่อสิ่งนั้นไปแค่นั้นเอง นี่จึงเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง เพราะมีผู้คนมากมายกำลังยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างเถรตรง แต่เราไม่เคยมีวันใดเลยที่สละสิ่งที่มันควรทิ้งไป แน่นอนว่าเราปฏิเสธความยึดติดไม่ได้ แต่เราใช้มันเพื่อประโยชน์ ไม่ได้ใช้มันเพื่อสนองตัณหาของเราเอง แสดงว่าการยึดติดจะมีช่วงเวลาที่มีคุณค่า แต่ถ้าหมดช่วงเวลานั้น ๆ แล้วมันย่อมหมดคุณค่าและถูกด้อยค่าลงไปตามเหตุปัจจัย เมื่อไม่มีสิ่งใดคงที่ แต่เราก็ยังต้องยึดหยัดต่อสู้กับความไม่แน่นอนด้วยจิตใจที่มีจุดยืนอยู่เสมอ.
ทุกอย่างมีเวลาของมันเสมอ
หากว่าอยู่ดี ๆ เราจะปล่อยวางในชีวิตทั้งหมดเลยได้ไหม นี่คือคำถามที่น่าขบคิดอย่างยิ่ง ก็เพียงเพราะชีวิตคือการที่เราต้องมีเป้าหมายให้มันอยู่ เหมือนต้องให้สมองได้มีเรื่องราวให้ได้คิด จิตใจจำเป็นจะต้องให้ได้โลดแล่น จังหวะของชีวิตจึงจำเป็นจะต้องเริ่มต้นก่อน มิใช่ไปบอกว่าให้อดทนอดกลั้น ไม่ทำอะไร ไม่พูดไม่จา รวมไปถึงไม่แสดงออกสีหน้าอารมณ์แล้วจะบอกว่าเราไม่ยึดติด แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลับกลายเป็นสิ่งที่ดูง่ายดายกว่านั้น เหมือนเราแค่เป็นคนแสดงออก และเป็นคนที่เป็นธรรมชาติต่อสิ่งนั้น ให้ธรรมชาติเป็นตัวบ่งชี้ว่าเราเป็นคนอย่างไรแล้วก็แค่เข้าไปดู ไปสังเกต คล้ายกันกับว่าเราเป็นคนที่ดูจิตใจเราเล่นละครแค่นั้นเอง.
ใช้ชีวิตเหมือนกับลอยไปกับสายลมและสายน้ำ โดยไม่เอาอะไรไปขัดขวางมัน ลองสังเกตสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างซื่อตรง แค่นี้เราก็จะเข้าใจว่าเรายึดติดกับสิ่งใดบ้าง การเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้แสดงออกเป็นผู้ที่มองการแสดงออกแทน เราก็จะค้นพบว่าจังหวะของชีวิตเริ่มมีการผ่อนคลายลงไปได้มาก ปัจจัยที่สำคัญที่สุดอยู่ที่จังหวะของชีวิตว่าทุกอย่างย่อมมีเวลาของมันเสมอ ถ้าเราตระหนักถึงเวลา เราก็จะปล่อยวางได้มาก เพราะเวลาไม่ใช่เป็นของใคร แต่มันเป็นเช่นนั้นเองแบบนั้น ถ้าวันนี้เรายังไม่สามารถปล่อยวางต่อจุดยืนได้เราก็แค่เพียงน้อมรับและใช้มันอย่างมีสติ เหมือนกับรักษาจุดยืนในชีวิตให้พอดี แต่ไม่ต้องหลงยึดมากเกินไป.
ปล่อยวางจึงเป็นทางออก
ถ้าเรายึดติดได้ก็ย่อมต้องปล่อยวางได้ นี่อาจจะเป็นคำพูดแบบกำปั้นทุบดิน แต่นี่คือหนทางออก แล้วมันไม่ใช่หนทางสำรอง แต่ทว่ามันคือหนทางหลักของชีวิตเราด้วยซ้ำ ปัจจุบันขณะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เราเรียนรู้แบบนี้ไปในชีวิตประจำวัน สอดแทรกการเข้าใจความจริงว่า ไม่ว่าสิ่งใดจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง เราก็ย่อมต้องไม่ถูกกระทบจนสูญเสียจุดยืน แต่เราก็ต้องปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ถ้าหากว่าชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงไปยังอนาคตในทิศทางที่เริ่มไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการยึดติดกับการเงินว่าต้องร่ำรวยอยู่ตลอด เราจะยากจนไปไม่ได้ แบบนี้ก็จะยิ่งทำให้ชีวิตทุกข์มากกว่าสุขอยู่ร่ำไป แถมความยึดติดยังจะส่งผลให้เราเป็นคนขาดเสน่ห์ต่อผู้คนรอบข้างไปโดยปริยาย.
การปล่อยและวางจึงเป็นคำสองคำที่รวมกัน และเป็นคำที่ว่าวางสิ่ง ๆ หนึ่งลงไปอย่างแท้จริง ซึ่งการทำหน้าที่ของการปล่อยวางจะไม่ใช่เป็นเส้นตรง แต่เป็นเหมือนเส้นของอัตราการเต้นของหัวใจเสียมากกว่า บางทีขึ้นเยอะ บางทีขึ้นน้อย แต่ในระยะยาวแล้วย่อมเห็นภาพชัดเจนว่า ความสม่ำเสมอย่อมสำคัญกว่าการปล่อยวางไปเรื่อย ๆ กระนั้น ชีวิตของคนเราส่วนใหญ่ก็มักจะมีความทุกข์มากกว่าความสุข มันก็จึงเป็นเหตุผลที่ยากอย่างยิ่งที่เราจะทำให้ชีวิตมวลรวมเราปล่อยวางไปจริง ๆ แต่อย่างน้อยที่สุด การปล่อยวางเป็นเหมือนเป้าหมายหลักของการยึดติดจากอดีต ปัญหาต่าง ๆ ก็ย่อมคลี่คลายลงไปได้บ้าง เนื่องจากเรามีจุดยืนแล้ว มีเป้าหมายแล้ว และกำลังมีเป้าหมายที่สูงขึ้นกว่าในอดีต.
ใช้ความยึดติดไม่ใช่ให้ความยึดติดใช้เรา
สิ่งใดที่เราใช้มัน เราก็ย่อมต้องใช้งานมันอย่างมีสติให้มากที่สุด เมื่อเราขาดความรู้ในการใช้งานสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมส่งผลเสียแก่บุคคลที่ได้ใช้งานต่อสิ่งนั้นเสมอ ชีวิตไม่ใช่สูตรสำเร็จที่จู่ ๆ เราจะเข้าใจมันโดยที่เราไม่ได้แก้ไขปรับปรุงเลย การหล่อหลอมให้ชีวิตนั้นสมบูรณ์จึงเป็นความท้าทายอย่างมาก แล้วถ้าเราลองฝึกฝนที่จะใช้ความยึดติดให้เป็นประโยชน์สูงที่สุด ก็ย่อมเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตของเราดีขึ้นได้ แต่กระนั้นมันก็ต้องใช้เวลาและใช้สรรพกำลังสูงกว่าปกติ สติ สมาธิ และปัญญาก็ย่อมต้องปรากฏเด่นชัดตามไปด้วย รวมไปถึงการใช้โยนิโสมนสิการ ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็จะเป็นส่วนต่อขยายให้เราปล่อยวางแบบถาวร.
โลกใบนี้ย่อมขับเคลื่อนไปในทิศทางแบบเส้นตรง หากเราค้นพบแล้วว่าเราต้องปรับปรุงแก้ไขสิ่งใด เราก็ควรที่จะเร่งทำ เร่งสร้าง รวมไปถึงเร่งขยับขยายไปยังจุดหมายปลายทางที่เราได้หมุดหมายเอาไว้จะดีที่สุด การมีสติในชีวิตประจำวันมันก็จะส่งผลทำให้เรารับรู้ภาพตามความเป็นจริง ไม่หลอกตัวเองและไม่หลงตัวเอง รับรู้ว่าเรากำลังถูกความยึดติดต่อเงินทอง หน้าที่การงาน หรือว่าครอบครัวเราอยู่รึเปล่า แล้วการยึดมั่นถือมั่นนี้มันเป็นเวลาที่ยาวนานมากไปไหม จุดเปลี่ยนของความสมมาตรมันยังดูดีอยู่รึเปล่า ทั้งหมดทั้งมวลนี้เราจำเป็นจะต้องใช้ปัญญาในการพินิจพิจารณาเข้าร่วมด้วยตลอดเวลา แล้วหลังจากนั้นการปล่อยวางจึงปรากฏขึ้นมาอย่างแท้จริง.