#52 ความคล้อยตาม

ความคล้อยตาม

เมื่อความคล้อยตามเป็นเหมือนสิ่งที่คอยสนับสนุนความคิด จิตใจ และการกระทำของเราอยู่เนือง ๆ หากว่าเราไม่มีความโอนอ่อนตามกับสิ่งใดเลย มันก็จะกลายเป็นความหัวแข็ง หรือหัวรั้นกันไป การใช้ชีวิตอยู่กับสังคมเล็ก ๆ ที่เรียกว่าครอบครัว เราก็จึงจะต้องใช้ความอ่อนน้อมเข้าแทรกเป็นระยะ มิเช่นนั้นปัญหาก็จะลุกลามไปใหญ่โต ก็เพียงเพราะว่าเราไม่เคยคล้อยตามสิ่งใด กับคนรอบข้างเลยแม้แต่น้อย.

คล้อยตามมิใช่ยอมทำตาม

หากเราลองสังเกตกันให้ละเอียดถี่ถ้วน เราจะพบว่าทุกปัญหาย่อมมีทางออกด้วยกันเสมอ ไม่มีสิ่งใดไร้ซึ่งทางออก แต่การที่เราจะหาทางออก เราก็จำเป็นจะต้องเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริงให้มากยิ่งขึ้น การคล้อยตามจึงมิใช่การยอมทำตาม มีหลายคนสงสัยว่าแล้วอะไรคือความแตกต่าง เมื่อความแตกต่างคือความตระหนักรู้ต่อสิ่ง ๆ นั้น และคำ ๆ นั้นอย่างถ่องแท้ การเข้าใจถึงสภาวะใด สภาวะหนึ่งอย่างหาที่สุดมิได้ จึงเป็นคำตอบว่าเราต้องการจะเลือกกระทำสิ่งใด จะคล้อยตามหรือจะยอมทำตามแต่โดยดี ผลลัพธ์ก็ย่อมแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในท้ายที่สุด แต่แล้วเหตุปัจจัยได้หล่อหลอมการกระทำทั้งหมดนี้ เพื่อสิ่งใดกันแน่.

สักแต่ว่ายอมก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่เราไม่ได้เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาทำ เพียงแต่พยายามจะให้ปัญหานั้นหลีกเว้นไปเสีย ไม่ยอมอะไรสักอย่างเดียว มีเพียงแต่คำว่า ไม่เป็นไรไม่ต้องทำความเข้าใจกับสิ่งนั้นก็ได้ ก็แค่ยอมคน ๆ นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะให้ทุกอย่างดีขึ้นได้ แต่กระนั้นชีวิตที่ใช้แบบส่งเดช ก็ย่อมได้ผลลัพธ์แบบส่งเดชกลับมาเฉกเช่นเดียวกัน ถ้าลองพิจารณากันในรายละเอียดของการยอม ก็น่าจะเกิดขึ้นมาจากเราไม่สามารถจะเข้าใจได้ว่า การคล้อยตามมันต้องประกอบไปด้วยการเข้าใจในสิ่ง ๆ นั้นอย่างลึกซึ้ง การไม่เข้าใจก็ทำให้ไม่เกิดกระบวนการตระหนักรู้ และตกผลึกต่อไป แล้วสิ่งที่ทำให้เราขาดคุณสมบัติการเข้าใจก็เนื่องมาจากการไม่ใฝ่เรียนรู้นี่เอง.

ทางออกจึงไม่ใช่การยอมกัน

เมื่อจุดเริ่มต้นคือการยอมกัน จุดจบก็คือการยอมกัน มีหลายครอบครัว และมีหลายบริบทในสังคมที่คิดว่าโอเค เมื่อเราทำสิ่งนี้ไปแล้ว การที่มีคนยอมทำตามก็คงจะจบสิ้นกันเสียที แต่แล้วความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ก็เพราะว่าเราไม่สามารถตอบได้โดยส่วนเดียวว่า เบื้องหลังของการยอมทำตามนี้เป็นเพราะความเห็นพ้องต้องกัน หรือเป็นเพียงเพราะว่าเราก็แค่สักแต่ว่ายอมไป ปัญหาที่มีอยู่ก็จะไม่ได้รับการแก้ไขใด ๆ ความคลี่คลายของปัญหาก็จะไม่ได้ถูกแก้มันอย่างถูกวิธี พอเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง เราจะพบว่าปมปัญหาถูกขมวดแน่น ราวกับมันไม่เคยได้รับการจัดการใด ๆ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า การยอมกันจึงยิ่งทำให้ปัญหาบานปลาย.

แต่แล้วการจะทำให้คนหนึ่งคนเกิดการตื่นรู้ในเรื่องของความเข้าใจ ก็มิใช่เป็นเรื่องง่ายดายนัก เพราะการคล้อยตามจะต้องมีคุณสมบัติของการเป็นนักเรียนรู้ เข้าใจว่าจังหวะนี้ควรคล้อยตามเรื่องใด และไม่ควรคล้อยตามในเรื่องใด หรือแม้แต่บางกรณีที่เราอาจจะต้องคล้อยตามผู้นำที่มีความคิดที่ผิด เพื่อที่เราจะต้องรักษาชีวิตเอาไว้ก่อน ซึ่งเราก็รู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่ผู้นำคนนั้นเขาเปล่งวาจามา มันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเท่าที่ควร แต่เราก็จำเป็นจะต้องยิ้มรับ และเปิดใจเข้าไว้ว่า ทุกอย่างก็จะดำเนินไปตามสิ่งที่ควรจะเป็นทั้งหมดทั้งสิ้น วันนี้เป็นวันที่เราต้องตระหนักว่า ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ถ้าคนหนึ่งคนไม่ยอมเปลี่ยนตาม ถ้าอยากให้ทุกสิ่งดีขึ้น ก็จงเริ่มคล้อยตามความเป็นจริง.

ความเป็นจริงเป็นสิ่งที่ต้องคล้อยตาม

ถ้าคนที่ไม่ดีกำลังบอกสอนเรา เราควรทำสิ่งใดเพื่อตอบสนองต่อเขาเหล่านั้น นี่คือคำถามที่นำมาซึ่งคำตอบที่ยากจะหามาได้ ในบางครั้งพ่อแม่ที่สอนเราในทางที่ผิด ก็เป็นฐานะที่เป็นไปได้ และในบางคราวพ่อแม่ก็ย่อมสอนเราไปในทางที่ถูก แต่เราจำเป็นต้องเลือกที่จะไม่รับฟัง เพราะคิดว่าสิ่งนั้นไม่เป็นไปเพื่อความสุขของเรา กระนั้น ชีวิตจึงไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวว่า เราจะต้องคล้อยตามสิ่งใด แต่ขอเพียงแค่เราต้องคล้อยตามเพียงอย่างเดียวในชีวิต นั่นก็คือความจริง ต่อให้พ่อแม่เราเป็นคนแบบไหนไม่สำคัญเท่ากับ สิ่งนั้นเป็นความจริงหรือไม่ หากพ่อแม่ใจร้ายคือความจริง เราควรคล้อยตามเพื่อเอาตัวรอดไว้ แต่ถ้าพ่อแม่ใจดีคือความจริง เราก็ควรคล้อยตามเพื่อนำความรู้และข้อมูล ที่พ่อแม่บอกสอนมาปรับใช้กับชีวิตเอาไว้.

การเลือกสรรสิ่งที่คล้อยตาม ในระดับที่พอเหมาะพอควร จึงเป็นสิ่งที่น่าสรรเสริญอย่างยิ่ง เหมือนกับเราเริ่มรู้จักธรรมชาติตามความเป็นจริงว่า เราควรทำสิ่งนี้เพื่ออะไร ไม่ใช่เราทำเพราะความไม่รู้ แต่เราเลือกทำเพราะเรารู้ชัดว่าสิ่งนี้ย่อมให้ผลลัพธ์ที่ดีในบั้นปลายอย่างแน่นอน สิ่งเหล่านี้ที่กล่าวมาจึงเป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง เพราะแม่แต่การคล้อยตามก็เป็นคำง่าย ๆ แต่การจะเลือกตัดสินใจกระทำไม่ใช่เป็นสิ่งที่ง่ายเหมือนคำพูด เริ่มที่จะเรียนรู้ทุกสิ่งตามความเป็นจริง ไม่ว่าสิ่งใดจะดีหรือไม่ ทุกอย่างก็ควรคล้อยตามไปก่อน หากว่าสิ่งใดดีอย่างแท้จริง ก็ควรนำมาปลูกในจิตใจของตนเอง หากว่าสิ่งใดไม่ดีอย่างแท้จริง ก็ควรคล้อยตามในจังหวะที่พอเหมาะ แต่ไม่นำสิ่งนั้นมาใช้กับตนเอง.

หากไม่เห็นด้วยก็ไม่จำเป็นต้องใช้ท่าทีดุดันตอบ

การอ่อนน้อมถ่อมตนจึงเป็นคุณสมบัติหลัก ที่เราจะเข้าใจได้ว่าเราไม่จำเป็นจะต้องมีท่าทีขึงขัง กับการที่เราไม่ได้สิ่งที่เราต้องการไปเสียทั้งหมด บางทีเราอาจจะต้องโอนอ่อนตามสภาวการณ์นั้น ๆ บ้าง เพื่อให้ทุกอย่างคลี่คลายไป หลังจากนั้นเราอาจจะต้องใช้การขบคิดเข้าร่วมด้วยว่า เราแค่ยอมให้ปัญหามันจบลงหรือว่าเราได้เริ่มตระหนักถึงความคล้อยตามอย่างถูกวิธีแล้ว สิ่งนี้ย่อมมาบ่งบอกถึงอัตลักษณ์ตัวตนของเราในชีวิตด้วยว่า ทุกสิ่งที่เรากระทำในวันนี้จะเป็นตัวกำหนดให้ผู้คนนั้นมีท่าทีอย่างไรกับเราต่อไป การยอมคนมิใช่เป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่การคล้อยตามเป็นส่วนหนึ่งของความน่ารักมากกว่า การฝึกฝนย่อมจำเป็น.

แน่นอนว่าทุกคนไม่สามารถเป็นไปในรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน เราต่างคนต่างมีวัฒนธรรม และเราต่างคนก็ต่างนิสัยกัน เราจึงไม่สามารถระบุได้ว่าทุกคนต้องเป็นไปตามสิ่งที่เราคาดหวังเอาไว้ แต่แน่นอนว่าเรามีสิ่งหนึ่งที่เลือกกระทำได้ตลอดเวลา นั่นคือการปฏิบัติต่อผู้คนรอบข้างอย่างสมดุล ไม่รักไม่ชัง ไม่ปรุงไม่แต่ง หรือไม่โกรธไม่เคือง มองทุกอย่างตามสิ่งที่บุคคลนั้นได้ถูกหล่อหลอมมาเป็นแบบนี้ การคล้อยตามจึงสามารถทำได้ในทุกบริบท ไม่ว่าจะอยู่ในครอบครัว หรือว่ากลุ่มเพื่อน รวมไปถึงระดับมหภาค สิ่งเหล่านี้หากว่าเราสามารถปลูกฝังไว้ในจิตใจได้ อย่างน้อยที่สุดปัญหาใหญ่ ๆ ก็จะได้รับการแก้ไข ส่วนปัญหาเล็ก ๆ ก็จะทุเลาเบาบางลงไป.