#64 ความย้อนแย้ง

ความย้อนแย้ง

ชีวิตมิใช่ค่าเฉลี่ยของสิ่งที่ไม่ได้ทำ แต่เป็นค่าเฉลี่ยของสิ่งที่ได้ทำ เมื่อการกระทำหนึ่งทำลงไป มันก็พูดยากว่าสิ่งนี้จะย้อนแย้งกัน ทว่า คำว่าย้อนแย้งที่แท้จริงน่าจะมาจากบางสิ่งที่ทำลงไป แต่เราไม่ได้ใส่ใจมันเลย แต่จู่ ๆ วันหนึ่งก็กลับกลายมาเป็นแก่นแท้ของชีวิตไปโดยปริยาย ถ้าเราตั้งโจทย์ให้ถูกต้องว่ามันไม่มีสิ่งใดย้อนแย้งไปมากกว่า การกระทำกับความคิดในแต่ละวัน ที่เราต้องตัดสินใจว่าจะทำสิ่งใดให้ดีที่สุดต่อชีวิต.

เมื่อความคิดกับการกระทำไม่ลงรอย

วันหนึ่งเราจะมีความคิดหนึ่ง และอีกวันหนึ่งเราจะมีอีกชุดความคิดหนึ่ง ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้อาจจะเชื่อมโยงกันก็ได้ หรือไม่เชื่อมโยงกันก็ดี แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หน้าที่ของธรรมชาติย่อมให้ผลที่ตรงไปตรงมา ไม่ได้ย้อนแย้งจากความเป็นจริงอยู่แล้ว การตระหนักถึงการกระทำที่ได้ทำไปทั้งหมดนั้น เป็นเรื่องที่ยากอยากยิ่ง มันก็จึงจำเป็นที่ต้องเท้าความไปยังอดีต เพื่อหามูลความจริงว่ามันมาจากสิ่งใด ความย้อนแย้งนั้นทำหน้าที่ของมันรึเปล่า หรือมันเป็นเพียงแค่ความรู้สึกที่เรามีต่อมันเท่านั้นเองว่ามันย้อนแย้งซึ่งกันและกัน สังเกตในสิ่งที่คิด พูด และกระทำในแต่ละวัน สิ่งเหล่านี้จะช่วยเกลาให้เราตระหนักรู้และตกผลึกได้ง่ายมากยิ่งขึ้น.

ความคิดจะมาเป็นส่วนต่อขยายของการกระทำ เพราะถ้าเราไม่คิดเราจึงไม่ทำ แม้ว่าสิ่งที่เล็กน้อยที่สุดที่เรียกว่าสัญชาตญาณ ก็อาจจะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถกำหนดมันได้อย่างชัดเจนว่า ความรู้สึกนี้ตอบสนองต่อสิ่งเร้าหนึ่งที่เราพอใจหรือไม่พอใจ เป็นความย้อนแย้งของธรรมชาติรึเปล่า ก็ในเมื่อเราเกิดมาเพื่อแสวงหาความสุข ทำไมบางครั้งเรายังรู้สึกว่าต่อให้มีความสุขสักแค่ไหนก็ไม่เคยพอใจอยู่ดี บางทีความทุกข์กับความสุขก็เป็นมาตรวัดที่ย้อนแย้งด้วยตัวของมันเองอยู่ดี ถ้าเราสุขมากขึ้นแปลว่าเราทุกข์น้อยลงรึเปล่า มันคือคำถามที่จำเป็นจะต้องไปค้นหาคำตอบกันต่อไป แล้วคำตอบนี้จำเป็นจะต้องเป็นสัจจะหรือความเป็นจริงแท้ที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามความคิด.

ความย้อนแย้งของการกระทำคือสัญญาณ

ถ้าเราลองสังเกตผู้คนรอบข้าง เราก็จะค้นพบว่าไม่มีคนใดเลยที่มีการกระทำที่ตรงไปตรงมาเท่าไรนัก ส่วนใหญ่มักจะมีการกระทำที่ย้อนแย้งกัน เช่น คิดอย่างไรแต่ไม่พูดออกไปอย่างนั้น คิดอย่างทำอีกอย่าง รวมไปถึงเวลาตั้งใจทำอะไรวันนี้ พอหลับไปตื่นหนึ่งก็ไม่อยากเริ่มต้นทำสิ่งนั้นไปแล้ว เมื่อความย้อนแย้งของทุกสรรพสิ่งมาไหลรวมในจุดเดียวกันว่า เราเป็นคนที่ไม่มีความอดทนอดกลั้นต่อการกระทำให้ชีวิตพัฒนาไปข้างหน้า เมื่อนั้นชีวิตเราก็จะมาบอกกับเราว่า ความดีที่เราได้ทำไปก็ย่อมจางหายไปตามกาลเวลา มันจึงเป็นการขาดความต่อเนื่อง ส่งผลทำให้ผู้คนรอบข้างที่มีสติสัมปชัญญะมากพอ จะมองเห็นสิ่งที่เราทำ และจึงเป็นเหตุผลของการเปลี่ยนแปลงของชีวิตที่หาที่สุดไม่ได้.

ไม่มีสิ่งใดที่เราจะมองไม่เห็น มีเพียงแต่หมอกบังตาของความไม่รู้เท่านั้นที่บดบังทัศนียภาพ หากเราลองสังเกตกันอย่างละเอียดถี่ถ้วนกันจริง ๆ เราก็จะค้นพบว่ามนุษย์ทุกคนมีศักยภาพมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้นได้ แค่เพียงเราสังเกตเพียงสิ่งเดียว เราจะรับรู้ว่าทำไมชีวิตของคน ๆ หนึ่งดีขึ้นได้ และทำไมมีอีกหลายล้านชีวิตที่ไม่ดีขึ้นเลย เมื่อเราหาค่ากลางเจอ เราก็จะค้นพบตัวแปรหลักที่ทำให้ชีวิตดีขึ้นได้ นั่นจึงเรียกว่าปัญญา แล้วตัวปัญญานี้มิใช่ปัญญาทางโลกแต่เป็นปัญญาทางธรรม ที่จะล่วงรู้ปัญหาทั่วไปว่า เราจะทำอย่างไรเมื่อเจอปัญหา และจะรับมืออย่างไรเมื่อเราเจอสิ่งที่น่ายินดีไปกับมัน เพราะทั้งสองสิ่งจำเป็นต้องมีสติประกอบด้วยเสมอ.

ผลลัพธ์ย่อมไม่ย้อนแย้งอย่างแน่นอน

สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมมีเหตุผลเสมอ ประโยคดังกล่าวก้องกังวานในความคิดมาอย่างยาวนาน แน่นอนว่าเหตุผลของสิ่งต่าง ๆ คืออะไร แล้วเหตุผลที่เราจะต้องประสบปัญหาในทุกวันแบบนี้ มันยุติธรรมแล้วเหรอ คำถามอันมากมายถาโถมมายังประโยคเพียงแค่ประโยคเดียว โดยเบื้องลึกของจิตใจมนุษย์ทุกคนมักจะรับรู้ภาพว่า เราไม่สมควรได้รับความทุกข์ เพราะเราเกิดมาเพื่อหาความสุข เราจึงสร้างมโนภาพให้ดูชัดเจนมากขึ้น เช่น การถ่ายรูปสร้างโมเมนต์ดี ๆ เพื่อเวลาเราทุกข์จะย้อนกลับไประลึกถึง และเวลาที่เราเจอปัญหาใด ๆ เราก็ทำได้แค่เพียงไม่รับรู้มัน ถือว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น และก็กินเหล้าเพื่อย้อมใจว่า เดี๋ยวมันก็จะผ่านไปเองตามธรรมชาติ.

ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และไม่มีสิ่งใดจางหายไปเองตามธรรมชาติ คำว่าตามธรรมชาตินี้หมายถึงสิ่งที่หล่อหลอมอย่างยิ่งยวด และมีบางสิ่งขะมักเขม้นอย่างยิ่งยวดเพื่อให้สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นได้ทันเวลาพอดี นี่จึงเป็นความหมายที่แท้จริงของคำนิยามที่เราใช้กันบ่อย ๆ ก็คือตามธรรมชาติ เมื่อเรามองดูสิ่งรอบ ๆ ตัวไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ใบหญ้า แม้กระทั่งตัวของเราเอง เราจะตระหนักว่าตัวเราเองไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้ถ้าเราขาดเหตุปัจจัยโดยรวม ผลลัพธ์จึงเป็นที่มาของคำว่า ไม่มีทางย้อนแย้งอย่างแน่นอน สิ่งใดเกิดขึ้นมา สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา คำพูดนี้มีความหมายอย่างยิ่งในการทำความเข้าใจให้ได้.

ตัดปัญหาด้วยการไม่สุงสิงกับคนที่ไม่ควร

มงคล 38 ประการข้อแรก การไม่คบหากับคนพาล ข้อที่สองก็คือ การคบหาบัณฑิต หรือแปลเป็นความหมายง่าย ๆ คือถ้าอยากจะมีชีวิตที่ดี ให้หลีกเลี่ยงคนที่ย้อนแย้งในตัวเอง และคบหากับคนที่ตรงไปตรงมากับชีวิต เมื่อคนไม่ดีมักจะมีความคิด คำพูด และการกระทำที่มักจะย้อนแย้งกันเสมอ ส่วนคนที่ดีก็มักจะมีสิ่งที่ตรงกันเสมอมา มันจึงไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไรกับการที่ตอนเด็กเราไม่สามารถเลือกเพื่อนในชั้นเรียนได้ แต่เราสามารถเลือกเพื่อนในวัยที่โตกว่านั้นได้ โอกาสในชีวิตเรามาถึงแล้ว อย่าย้อนแย้งกับการกระทำของตัวเอง รู้จักตัวเองให้ได้ว่า ในแง่มุมของชีวิตเรานั้นเราต้องการสิ่งใดกันแน่ เราต้องการมีชีวิตที่ดี หรือเราต้องการแค่แก้เหงาไปวัน ๆ ตัดสินใจแล้วเดินหน้าได้เลย.

เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงค่าเฉลี่ยของคน 5 คนที่เราคลุกคลีมากที่สุดไปได้ ยิ่งเราอยากจะมีชีวิตที่ดีก็ต้องเลือกเฟ้นหา ใฝ่รู้ และใส่ใจกับคน 5 คนที่เรารับฟังมากที่สุดให้จงได้ อย่าเพิกเฉยคนที่เราสนิทมากที่สุด การเลือกคนดีมาแล้วมิใช่แค่ให้เขาอยู่อย่างนั้น แต่เราต้องอ่อนน้อมถ่อมตน ปรึกษาหารือปัญหาในชีวิตอย่างมีสติ เรียนรู้ที่จะตั้งคำถามอย่างชาญฉลาด เพราะคำตอบมักจะอยู่ร่วมด้วยกับคำถามตั้งแต่เริ่มถามแล้ว ถ้าเราไม่คิดที่จะถามเราก็จะไม่ได้รับคำตอบที่ควรค่าแก่การนำไปปรับใช้กับชีวิตได้เลย บางทีบทเรียนในชีวิตของเราอาจจะเป็นการตัดคนที่ไม่ควร และเลือกสุงสิงกับคนที่ควรก็ได้ แล้วการไม่ย้อนแย้งจะปรากฏให้เราเห็นอย่างประจักษ์แจ้งเอง.