#77 ความลำบาก

ความลำบาก

จะมีความยากลำบากใดเล่า ที่จะสู้ความยากลำบากที่แข็งกระด้างของจิตใจ เมื่อจิตใจหยาบโลน บุคคลนั้นก็มักจะมีกิริยามารยาทที่ไม่งาม รวมไปถึงความลำบากที่เราพูดถึงส่วนใหญ่คือความลำบากทางกาย แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความลำบากทางใจก็เป็นส่วนที่สำคัญไม่แพ้กัน ทำไมเราถึงต้องคำนึงถึงตรงจุดนี้ ว่าในสิ่งที่คิดมันเป็นความลำบากของมัน หรือมันเป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมาเองว่ามันคือความลำบาก.

ชีวิตไม่ได้เป็นไปตามสิ่งที่อยาก

เมื่อชีวิตมวลรวมของเราไม่ได้ออกแบบไปตามสิ่งที่อยาก นั่นก็คงจะหมายความว่า ถ้าเราอยากได้สิ่งใด เราก็มักจะไม่ได้รับสิ่งนั้นเป็นการตอบแทน เหมือนว่าความรู้สึกอยากจะเป็นปฏิปักษ์กับผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นตลอดมา ไม่มีวันใดที่เราจะได้คำตอบมันอย่างกระจ่างแจ้งว่า ในท้ายที่สุดแล้วชีวิตเราจะพบเจอความสุขกันจริงหรือไม่อย่างไร ปัญหาที่ใหญ่กว่าความรู้สึกอยาก ก็คือผู้คนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยตั้งคำถามกับชีวิตอย่างสิ่งที่มันควรจะเป็นไปว่า เราได้รับสิ่งที่เราสมควรได้ไปแล้วหรือยัง เพราะในความเป็นจริง ทุกคนล้วนได้รับสิ่งที่ธรรมชาตินั้นคัดสรรมาอย่างเหมาะสมที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวที่เราอยู่อาศัย พ่อ แม่ พี่ น้อง รวมไปถึงญาติของเราก็ตาม.

มันจึงถอดความได้ว่า เราทุกคนได้รับไปเรียบร้อยแล้ว ความลำบากเดียวที่เราได้รับในทุกวันตั้งแต่เราลืมตาดูโลกใบนี้ก็คือ ความไม่รู้ที่ว่าเราได้รับไปแล้วนั่นเอง สายตาที่มืดบอดก็จึงไม่สามารถมองอะไรได้อย่างชัดเจน แล้วมิหนำซ้ำภาพลวงตาของสังคมก็หล่อหลอมให้เรา อยากได้ใคร่มีไปเสียทุกอย่าง เราจึงต้องน้อมรับในชีวิตว่า อะไรกันแน่ที่เราควรจะได้รับ หรือสมควรได้รับกันในชีวิต เรื่อง ๆ หนึ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา อาจจะหมายถึงมันมีเหตุผลบางอย่างที่ต้องเกิดขึ้นแบบนั้น ไม่ว่าจะเป็นความลำบากกายหรือใจก็ตามแต่ ทว่า อย่างน้อยที่สุดเราก็ได้รับไปบ้างแล้วมิใช่หรือ กับคำว่าสิ่งที่เราได้ลืมตาดูโลกใบนี้ แล้วก็อยู่ที่ตัวเราเองว่าเราจะทำกับสิ่งที่เห็นนั้นอย่างไร.

โชคชะตามักเล่นตลกกับเรา

หากว่าเราเป็นพ่อแม่คน แล้วเราก็มีลูกหลานหลายคน ถ้าความอยากของเราก็คงจะเป็น อยากให้ลูกที่เรารักมากที่สุดอยู่กับเรา ดูแลเรา แต่ในความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ก็เพียงเพราะ คนที่เรารักส่วนใหญ่มักจะเป็นคนดี แล้วคนที่ดีส่วนใหญ่ก็มักจะมีพื้นที่มากมายกว่าคนที่ไม่ดี รวมไปถึงถ้าหากพ่อแม่เป็นคนที่มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ดีอยู่แล้ว มันก็จะยิ่งทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนว่า เราต้องยอมรับ เข้าใจ และศิโรราบกับความเป็นไปเท่านั้นเอง เสมือนว่าคนดีจะต้องไม่เรียกร้อง คนดีจะต้องทำตามแบบแผน หรือว่ากฎหมายมีไว้สำหรับคนดี เป็นต้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นขอให้เราทุกคนหมั่นทำหน้าที่ที่พึงกระทำแล้วใจเราจะมีความสุขเอง.

บางคนอยากดูแลพ่อแม่ แต่ก็ไม่ได้ดูแล แต่กลับกลายเป็นบางคนจำเป็นต้องดูแลพ่อแม่เพราะไม่มีภาระรับผิดชอบอะไรมากมายเท่ากับพี่น้องคนอื่น ๆ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่บางทีมันอาจจะดูไม่ยุติธรรม แต่เชื่อเถอะว่าทุกอย่างเป็นอย่างสิ่งที่ควรจะเป็นไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรเป็นเรื่องของความบังเอิญ ถ้าวันนี้เราลำบากใจที่ลูกของเราไม่เป็นดังใจเรา ก็ขอให้ระลึกถึงสิ่งที่เราหมั่นทำลงไป เพราะสิ่งนั้นจะมาช่วยปลอบประโลมจิตใจบ้างไม่มากก็น้อย พอถึงวัยแก่ชรา เราก็อาจจะขยับเขยื้อนร่างกายไปไหนมาไหนได้ยากยิ่งขึ้น นั่นอาจจะเป็นหนทางของการแก้ไขที่ใจก็เป็นได้ วันใดที่เราฝึกฝนที่จะแก้ปัญหาที่ใจ นั่นก็จะเป็นวันแรกของการจบสิ้นความทุกข์.

มันคือสิ่งที่เราต้องน้อมรับมัน

ถ้าเราอยากรู้สึกสุข ก็ย่อมต้องไปหาความสุขเพิ่ม นั่นอาจจะหมายถึงการตอบแบบกำปั้นทุบดิน ซึ่งในความเป็นจริงเราไม่สามารถจะหาคำตอบแบบนั้นได้โดยส่วนเดียว ส่วนประกอบของชีวิตนั้นมีองค์ประกอบมากมายเหลือคณานับ บางครั้งความสุขของเราอาจจะเป็นการปล่อยให้คนที่เรารักไปอยู่ในจุดที่เราสมควรอยู่มากที่สุดก็ได้ คนที่เรารักที่สุดอาจจะไม่ได้อยู่ร่วมโลกใบนี้กับเรา แต่อย่างน้อยความรู้สึกดีที่เรามีให้แก่กันและกัน มันย่อมสำคัญไม่แพ้กันมิใช่หรือ อะไรเล่าจะเป็นความสบายใจไปมากกว่า การเห็นคนที่เรารักมีความสุขสบาย หรือการที่เขาได้ไปจุดที่เราปรารถนาจริง ๆ มันอาจจะเป็นจุดเริ่มต้องของความจริงว่า ยิ่งรักยิ่งต้องให้ ยิ่งอยากสุขยิ่งต้องน้อมรับมัน.

เมื่อความรักกับความหลงแตกต่างกัน ความลำบากกับความสบายก็ย่อมต่างกันด้วย บางครั้งมันคือคำนิยามสั้น ๆ ที่มีเส้นบาง ๆ กั้นกันอยู่ว่า เราจะมีความสุขกับชีวิตของเราได้อย่างไร ถ้าเรามีเงื่อนไขมากมายเต็มไปหมด บางคนมีเงื่อนไขว่า จะต้องแข็งแรงไปตลอดชีวิต หรือจะต้องมีเงินทองมากองอยู่ตรงหน้าจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ แล้วในระดับขั้นของความคิด ใคร ๆ ก็ย่อมนึกตรึกแบบนี้อยู่แล้ว ไม่ได้ผิดแผกอะไรจากธรรมชาติของความคิดเลย แต่มันคือทางออกของชีวิตจริง ๆ รึเปล่า มันคือทางที่เราจะพ้นจากความลำบากได้จริงหรือไม่ แล้วอะไรเล่าที่จะทำให้เราพ้นจากความลำบากได้ นั่นก็คือการเข้าใจว่าความลำบากคืออะไรนั่นเอง.

คนดีลำบากแค่กาย แต่คนไม่ดีลำบากทั้งกายและใจ

หากเราลองนิยามความหมายของคนดีกับคนไม่ดีก็คงมีความหมายสั้น ๆ ว่า คนดีมักจะนึกถึงคนอื่น และคนไม่ดีก็มักจะนึกถึงแต่ตัวของเขาเอง แล้วมันก็จะมีบทสรุปที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ความลำบากใจของคนดีก็มักจะเป็นความที่เรารู้สึกเป็นห่วงคนอื่นมากเกินไป เขาจะลำบากไหม เขาจะอยู่ได้ไหม แต่กลับกันสำหรับคนที่ไม่ดีก็ย่อมนึกแต่ว่า ตัวเราจะรอดพ้นจากอุปสรรคนี้ไหม หรือว่าตัวเราเองนี้จะมีความสุขในชีวิตหลังจากนี้ได้หรือเปล่า เป็นต้น การจำแนกออกแบบนี้จะทำให้เราเห็นชัดว่า คนที่ไม่ดีก็มักจะทำให้ตัวเองลำบากทั้งกายและใจอยู่ร่ำไป ไม่ว่าจะเป็นเงินทองเอย ความสัมพันธ์เอย หรือว่าสุขภาพเอย ก็ย่อมทรุดโทรม และบั่นทอนไปตามกำลังของใจ.

การดูแลจิตใจจะทำให้ร่างกายนั้นย่อมดีตามไปด้วย แต่ถ้าหากว่าเราไม่ดูแลใจ ไม่ว่าจะกายหรือใจก็ย่อมแห้งเหี่ยวกันตามไปด้วยเหมือนกัน ซึ่งใจย่อมเป็นใหญ่เป็นประธานในการดำรงชีวิตอยู่ต่อไป วันนี้เราจึงไม่มีคำตอบตายตัวว่า เราจะต้องดูแลอะไรก่อน ถ้าเกิดว่าเรายังไม่เข้าใจเหตุของความลำบากทั้งปวง แต่กระนั้นถ้าเราไม่มีความรู้อะไรเลยก็แก้ไขไปตามเหตุก็พอ ถ้าปัญหาเกิดที่ใจก็ให้แก้ที่ใจ ส่วนถ้าปัญหาเกิดที่กายก็ให้แก้ที่กาย ค่อย ๆ แก้ไขไปทีละจุด อย่าเพิกเฉยต่อปัญหา แล้วหลังจากนั้นความสุขสบายย่อมปรากฏขึ้นมาเหมือนดังแสงอาทิตย์ ที่ส่องสว่างยามเช้าตรู่ ที่มิอาจมีสิ่งใดมาแทรกแซงได้เลย เพียงเพราะใจเราเบิกบานอยู่เสมอนั่นเอง.