การที่เราจะดำเนินชีวิตอย่างตรงไปตรงมาได้นั้น เราย่อมต้องเป็นคนที่ตรงก่อนเสมอ ชีวิตไม่ใช่ค่าเฉลี่ยของสิ่งที่เรามิได้เป็น แต่จะเป็นไปตามสิ่งที่เรานั้นเป็นไป เรียนรู้ที่จะตรงต่อใจ ตรงต่อชีวิต และตรงต่อความเป็นจริง แล้วเมื่อนั้นเราจะได้อย่างสิ่งที่เราคาดหวังอย่างตรงไปตรงมาเฉกเช่นเดียวกัน ทุกคนย่อมต้องการอะไรที่สมควรแก่เรา แต่เราก็จำเป็นจะต้องให้อย่างตรงไปตรงมากับสิ่งที่คนอื่นสมควรได้รับด้วยเสมอ.
ความตรงเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ
คงไม่มีมนุษย์คนใดชอบความเฉไฉหรือความไม่แน่นอน แต่เรากลับชื่นชอบความตรง ไม่ว่าจะเป็นถ้าเราต้องการเลือกลงทุนกับคนใดคนหนึ่ง เราก็ต้องการผลตอบแทนอย่างตรงไปตรงมา แน่นอนว่าบางทีเราก็จะมีความเครียด รวมไปถึงความกังวลว่าผู้จัดการการลงทุนคนนี้เขาจะเป็นคนดีไหม เขาจะซื่อตรงกับลูกค้าหรือว่าคนที่เขาดูแลสินทรัพย์อยู่หรือเปล่า นั่นก็จึงเป็นตัวอย่างของคำว่าความตรงที่เห็นชัดที่สุด เมื่อทุกคนมีความสุขกับสิ่งที่เราสมควรได้รับ เหตุใดกันจึงมีผู้คนมากมายพยายามคดโกงคนอื่น หรือพยายามหาลู่ทางเพื่อได้มากขึ้นโดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมาว่า ถ้าเราได้มาก คนอื่นย่อมได้น้อย สิ่งนี้จึงเป็นเงาตามตัว.
ไม่มีใครได้สิ่งใด แล้วไม่มีใครเสียสิ่งใด นี่จึงเป็นคำที่อยู่บนจักรวาลนี้มาอย่างยาวนาน ทุกสิ่งดำเนินอย่างตรงไปตรงมา เราต้องการความสุข คนอื่นเขาก็ย่อมต้องการความสุขเช่นกัน ฉันใดก็ฉันนั้น หากเราคดโกงคนอื่น คนอื่นก็ย่อมทุกข์ใจ และเขาก็ย่อมเคียดแค้น ชิงชัง และคิดหาทางเอาคืนมาอย่างแน่นอน เมื่อเราไม่ได้ทำอะไรอย่างตรงไปตรงมา มันก็ย่อมเกิดกระบวนการที่เรียกว่า ความไม่ตรงไปตรงมา ปัญหาชีวิตก็จะเกิดขึ้นตามมาอย่างมหาศาล แถมไม่สามารถมีสิ่งใดหยุดยั้งกระบวนการของความไม่ตรงนี้ได้เลย เราจึงจำเป็นต้องเข้าใจทั้งหลัก เหตุและผล สิ่งใดเกิดขึ้นสิ่งนั้นย่อมมีผลพวงตามมา และไม่มีอะไรที่เราจะคาดหวังได้นอกจาก เราทำเหตุนั้นแล้วเท่านั้น.
จักรวาลขับเคลื่อนด้วยเหตุและผล
ถ้าเราเป็นคนที่ขาดเหตุผล เราก็จะไม่สามารถเข้าใจทุกสิ่งตามความเป็นจริงได้เลย แม้กระทั่งความรู้สึกนึกคิดของเราในวันนี้ เราก็จะไม่สามารถตระหนักรู้ รวมไปถึงตกผลึกจากความเป็นจริงได้ ปัญหาก็จะเกิดขึ้นเป็นเงาตามตัว แถมเรายังไม่สามารถได้รับสิ่งที่สมควรได้รับ ลองสังเกตแง่มุมของจักรวาลนี้ เราก็จะค้นพบว่าการขับเคลื่อนของสิ่งที่มองเห็น และมองไม่เห็น สองสิ่งรวมเป็นหนึ่งเดียวนั่นคือ สสารและพลังงาน เราสามารถเห็นสสารได้ แต่เราไม่สามารถเห็นพลังงานได้ เมื่อเราเรียนรู้ที่จะส่งต่อแต่สสาร แต่ไม่เรียนรู้จะส่งต่อพลังงาน ชีวิตจึงขาดสมดุล ความปรากฏเห็นของธรรมชาติย่อมมิอาจเกิดขึ้นมาได้เพียงสิ่งเดียว.
การหลอมรวมของพลังงานย่อมสำคัญยิ่งต่อโลกใบนี้ หากเราเพิกเฉยที่จะทำเหตุที่ตรง เราก็จะขาดผลที่ตรงเช่นกัน เรารับรู้และเรียนรู้ชีวิตจากสิ่งที่เราพบเจอตามความเป็นจริง เราไม่สามารถที่จะเรียนรู้ชีวิตได้จากความนึกคิด หรือว่าความฝันเฟื่องใด ๆ ได้เลย หลายคนห่างไกลจากความจริงแถมยังคิดไปอีกว่าความจริงเป็นเรื่องเจ็บปวด แต่เราอย่าหลงลืมสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดไป นั่นก็คือปัจจุบันขณะ เพราะถ้าเราไม่มีปัจจุบันขณะ เราจะไม่สามารถเข้าใจทุกอย่างตามความเป็นจริงได้เลย แม้กระทั่งตัวของเราเอง มีความคิดอย่างไร นิสัยเป็นอย่างไร ทำไมเราถึงชอบสิ่งนี้ และทำไมเราถึงไม่ชอบสิ่งนั้น นี่จึงเป็นทั้งความตรงของตัวเราเองที่มีต่อตัวเราเอง.
ความจริงมันเจ็บปวด
ความง่ายดายจะปรากฏเห็นเด่นชัดขึ้น ถ้าเราเป็นคนตรง หากเราเป็นคนที่ไม่ซื่อสัตย์ เมื่อนั้นเราจะไม่สามารถสร้างเหตุที่ดีได้ พอเราไม่สามารถสร้างเหตุที่เราปรารถนาได้ เราก็จะเริ่มหาทางลัด แล้วทางลัดนี้ไม่มีอยู่จริง มันเป็นทางที่ลวงเราขึ้นมา เพื่อสร้างความเชื่อว่า มันมีทางที่ง่ายกว่านี้ ง่ายกว่าสิ่งที่ทุกคนรู้ แถมสมองก็ทำหน้าที่หลอกตัวเองอีกชั้นหนึ่งเพื่อให้เราปักใจเชื่อหนักกว่าเดิม แถมยากจะถอดถอนความเชื่อไปได้ ต่อจากนี้ไปชีวิตเราจะเข้าสู่วงจรอุบาทว์ ที่เราไม่สามารถออกมาได้ ถ้าเราไม่เป็นคนตรงไปตรงมาเพื่อแก้ปมปัญหาชีวิตทั้งหมด ที่เราล้วนเป็นคนสร้างขึ้นมาเองกับมือ เหตุกับผลย่อมตรงกัน เพราะมันคือชีวิต แล้วชีวิตก็ขับเคลื่อนด้วยความเป็นจริง.
ยิ่งเรามองว่าความจริงมันเจ็บปวด เราก็จะไม่สามารถออกจากวังวนความหลอกลวงนี้ได้ มิหนำซ้ำเราก็ยังจะเพิกเฉยต่อความจริงเข้าไปอีก การแก้ปมปัญหาชีวิตมันต้องแก้ด้วยการยอมรับความจริงก่อน มันคือการยอมรับปมปัญหาว่า มันก็คือส่วนหนึ่งของชีวิตเรา เราอาจจะเลือกสิ่งที่เจอไม่ได้ แต่อย่างน้อยเราก็ยังเลือกที่จะมอง เลือกที่จะปฏิบัติ แถมเลือกที่จะเข้าใจความจริงได้ เหมือนว่าชีวิตที่ยากมันก็จะกลายมาเป็นง่ายมากยิ่งขึ้น แถมเรายังได้กำลังใจในการใช้ชีวิตเพิ่มขึ้นเยอะ จากการปรับมุมมองว่าความจริงมันไม่เจ็บปวด แต่ความจริงมันมอบอัญมณีที่ล้ำค่าที่สุดในโลกให้กับเรา นั่นจึงเรียกว่าประสบการณ์นั่นเอง.
การไม่ยอมรับความจริงเจ็บปวดมากกว่า
ปัญหาของปัญหาก็คือปัญหาสองเท่า ยิ่งเราไม่ยอมรับ มันจะยิ่งดึงทึ้งตัวเรามากยิ่งขึ้น มันจะรัดแน่นที่ความรู้สึกเข้าไปอีกว่า ชีวิตนี้ยากที่จะยอมรับในความเป็นจริงของมัน และการที่เรามองเห็นว่าความจริงมันเจ็บปวด แต่การไม่ยอมรับความจริงเจ็บปวดมากกว่าเสมอ การหนีปัญหา การเป็นคนเฉไฉต่อความจริง หรือว่าการที่เรามองว่าความตรงไปตรงมาเป็นความโง่เขลาเบาปัญญา สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่สร้างความทุกข์ที่ขมวดปมให้แน่นมากยิ่งขึ้นโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลยด้วยซ้ำ ชีวิตที่อยู่ดี ๆ ก็มีปัญหาเข้ามาหาเราทุกวัน เราต้องแก้โจทย์ในชีวิตแล้วว่า เราจะทำอย่างไรให้ปัญหามันลดน้อยลงไปในแต่ละวัน มิใช่เป็นการที่เราไปสร้างความคิดในแง่ลบ เพื่อให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามความคิดเรา.
ให้เริ่มต้นที่จะเปลี่ยนแปลงการไม่ยอมรับความจริงด้วยความตรงไปตรงมา เริ่มซื่อตรงกับตัวเองว่า ถ้าปัญหามันจะเกิดมันก็ต้องเกิด ไม่เป็นไรเราจะสู้กับปัญหาด้วยปัญญาอย่างถูกวิธี ถ้าชีวิตเราจะตกต่ำไปมากกว่านี้ก็ขอให้มันปรากฏขึ้นเอง ไม่ใช่สาเหตุจากการที่เราหนีปัญหาอีกเลย การมีความศรัทธา และการมีอธิษฐานจิตที่ถูกทาง ย่อมสร้างสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นได้ มันเปรียบเสมือนการที่เราเริ่มเปลี่ยนวิถีทางเดินทาง จากการเดินอ้อมเป็นการเดินตรง จากการที่หาทางลัดมาเป็นทางหลัก รวมไปถึงจากการหนีมาเป็นการเผชิญหน้าเพื่อต่อสู้ นี่จึงเป็นทั้งหนทางออก และหนทางแก้ไขให้ชีวิตรุดหน้ามากยิ่งขึ้น แถมยังเป็นสิ่งที่จักรวาลนี้มอบให้กับเรามาตลอดเวลานั่นเรียกว่าโอกาส.