#81 ความศิโรราบ

ความศิโรราบ

ความไร้ตัวตนนั้นก็คงจะคล้ายกันกับความศิโรราบ มันมีความหมายโดยนัยว่า ไม่มีอะไรจะขวางกั้นเราไว้ได้ ถ้าหากเราปล่อยให้ทุกสิ่งผ่านพ้นไปยังที่ตัวเราเองนี้ ซึ่งการเปลี่ยนแปลง อุปสรรค รวมไปถึงมรสุมของชีวิตก็เป็นเพียงแค่แง่งามหนึ่งของปัญหาเท่านั้น เมื่อเรามีความสามารถครบถ้วนสมบูรณ์ทุกอย่างก็เป็นเพียงแค่เงาของปัญหาเท่านั้น มิใช่ตัวตนของปัญหาอีกต่อไป จงเป็นคนที่ปรับตัวได้ยังทุกสภาวะแล้วทุกอย่างจะราบรื่นเอง.

ใช้ชีวิตเปรียบดังรวงข้าว

เมื่อชีวิตมาบอกกับเราว่า ให้เราอ่อนน้อมต่อสิ่งต่าง ๆ เปรียบดังรวงข้าว เมื่อวันที่มันยังอยู่ในรวงมันย่อมพริ้วไหวไปตามสายลม มิอาจหยุดยั้งความอ่อนไหวของรวงข้าวไปได้เลย ชีวิตก็คล้ายคลึงกันตรงที่เราจงใช้ชีวิตเหมือนรวงข้าว ที่ไม่มีวันใดที่เราจะไม่อ่อนโยน หรือว่ายอมรับการปรับตัวเข้ากับสภาวะต่าง ๆ อย่างสมบูรณ์ เมื่อเรายอมรับปัญหาตรงหน้า แต่เราไม่ยอมแพ้มันวันหนึ่งเราจะกลับมาชนะมันได้ แล้วปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับใจเรา มันก็จะย่อมดูเล็กน้อยไปเสียหมด ลองสังเกตชีวิตตนเองอยู่เนือง ๆ ดูว่าเราได้ใช้ชีวิตที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง เราใช้ชีวิตเหมือนรวงข้าวบ้างไหม หรือเราใช้ชีวิตแตกต่าง รวมไปถึงกันตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงหรือเปล่า.

การแข็งทื่อหรือไม่ยอมอ่อนน้อมต่อสิ่งใดยอมเป็นปฏิปักษ์ต่อทุกสรรพสิ่ง แม้ว่าตัวตนเราในวันนี้ยังไม่ได้ขัดเกลาเท่าที่ควร ก็ไม่เป็นไร จงเข้าใจและยอมรับตัวตนของตัวเองว่า ฉันจะเปลี่ยนเปลงตนเองตั้งแต่วันนี้ ลดอัตตาตัวตนลงกึ่งหนึ่ง เพื่อที่เราจะมอบพื้นที่อันเล็กน้อยนี้ให้ชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิม อย่าลืมว่าอัตตาตัวตนมันดี ก็ตรงที่มันมีอยู่ค้ำชีวิตเราไม่ให้จมดิน แต่บางครั้งการที่มีอัตตาตัวตนมากเกินไป มันย่อมกลับทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปกว่าเดิม สังเกตให้ดี ๆ ว่าการมีอัตตานี้ทำให้ชีวิตดีขึ้นหรือแย่ลงอย่างไร คนรักเรามากขึ้นบ้างไหม หรือคนเกลียดเรามากขึ้น สิ่งนี้เราต้องสังเกตกันให้ถี่ถ้วนจริง ๆ ไม่เช่นนั้นเราก็จะมีชีวิตที่ล้มเหลวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้.

ลดอัตตาแล้วจะลดการทะเลาะเบาะแว้งลง

ปัญหาของการทะเลาะเบาะแว้งส่วนใหญ่ก็คือ อัตตาตัวตนที่สูงตระหง่านค้ำฟ้า แล้วไม่มีวันที่จะยอมลดอัตตาตัวตนลงเลย เมื่อปัญหาหนึ่งเกิดขึ้นมา อีกปัญหาก็ย่อมเกิดขึ้นไปเงาตามตัว ไม่มีสิ่งใดจะขวางกั้นความก้าวหน้าของชีวิตเราเองไปมากกว่าอัตตาตัวตนที่สูงเกินพอดี ฝึกฝนที่จะปรับระดับอัตตาให้อยู่ในระดับที่พอเหมาะพอควร ไม่มากไปหรือน้อยไป ใช้ชีวิตให้ล้อไปตามลม หรือหมุนเวียนไปกับธรรมชาติอย่างสิ่งที่มันควรจะเป็น แล้วสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้รอดพ้นจากอุปสรรคใหญ่ ๆ ไปได้อย่างแน่นอน ในความเป็นจริงหลายคนอาจจะไม่ค่อยเห็นคุณค่าของการทำตัวให้เล็ก ซึ่งมันจะขัดแย้งกับตัวตนภายในอยู่มาก มันก็ย่อมจำเป็นต้องเสียตัวตนบางส่วนเพื่อการเอาตัวรอด.

เรื่องราวที่จะจบสิ้นลงได้ ก็คงจะเป็นเรื่องราวของชัยชนะที่ไม่กลับมาแพ้ การลดอัตตาตัวตนได้อย่างแท้จริง ย่อมเป็นชัยชนะที่ไม่กลับมาแพ้อีกต่อไป มันคือการชนะใจตนเอง ในเมื่อทุกคนต้องการตัวที่ใหญ่โตตามอำนาจ วาสนา หรือเงินในบัญชี แต่เรากลับทำสิ่งที่ตรงกันข้าม คือเราควรทำตัวให้เหมือนน้ำ เหมือนรวงข้าว หรือเหมือนลมที่พริ้วไหวไปกับแรงลมเท่านั้นเอง ทว่า สิ่งเหล่านี้ย่อมมาบอกกับเราให้เรารับรู้ว่า ไม่มีอะไรจะสลักสำคัญไปมากกว่าชัยชนะที่ไม่กลับมาแพ้ แล้วนี่ควรจะเป็นเป้าหมายที่สูงสุดของชีวิตคน ๆ หนึ่ง มันอาจจะดูไร้ค่าตามมาตรวัดทางสังคม แต่ทางจิตวิญญาณหรือธรรมชาตินี่คือสิ่งที่หาได้ยากในโลก.

อย่าทำตัวเหมือนเสาที่ไม่มีวันปรับตัว

เสาตระหง่านตา คงจะเป็นสิ่งที่ดีมากถ้ามันตั้งอยู่ถูกที่และถูกเวลา ซึ่งสิ่งหนึ่งมีประโยชน์เพียงแค่อย่างหนึ่งหรือสองอย่างเพียงเท่านี้ อย่าใช้เสานี้เพื่อสนองตัณหาใด ๆ เลย เพราะมันไม่ได้มีคุณค่าเพื่อชีวิตขนาดนั้น แน่นอนถ้าเราเจอคนที่เปรียบเหมือนเสา เราก็คงต้องหลบ แต่กลับกันคนที่เป็นเสาทั้งคู่ย่อมมีความขัดแย้งกันอยู่เสมอ ไม่จำเป็นต้องไปเสาะแสวงหาเสาให้ปรับเปลี่ยนใด ๆ เสาก็คือเสาอยู่วันยังค่ำ มันก็เป็นสภาวะของแข็งอยู่อย่างนั้น จนกว่าที่คน ๆ นั้นจะตระหนักรู้ว่า เสาที่ตั้งอยู่อย่างนั้น มันมีประโยชน์ก็จริง แต่ประโยชน์ที่จะเป็นเสาไปตลอดชีวิตคงไม่ดีเท่าไรนัก เพราะคนต่างจากวัตถุตรงที่ เรามีจิตใจ แล้วจิตใจคนสามารถปรับแต่งได้นั่นเอง.

พอชีวิตมีการปรับตัวได้ เราก็หลีกเลี่ยงปัญหาได้ง่าย ๆ โดยที่เราก็ประเมินเรื่องราวต่าง ๆ โดยใช้ปัญญาในการขบคิดไปเลยว่า สิ่งนั้นควรค่าแก่การเสวนาไหม และสิ่งนั้นเราจะได้อะไรจากมันมาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ หรือว่าแง่มุมของการนำไปปรับใช้กับชีวิตสักแง่มุมหนึ่ง เมื่อชีวิตมีการติดตามไปยังทิศทางที่ถูกต้อง เราก็แค่ทำตามมันอย่างนั้นเท่านั้นเอง ไม่ต้องไปคิดมากเกินไปว่า ทำไมต้องสูญเสียตัวตน ทำไมต้องปรับตัว หรือทำไมไม่อย่างนี้ ทำไมต้องอย่างนั้น เพราะนี่คือโจทย์ของธรรมชาติ แล้วธรรมชาติก็ไม่เคยยื่นโจทย์ให้กับเราแค่คนเดียว มันย่อมยื่นโจทย์ให้กับคนทั้งโลกที่มันต้องการจะยื่นให้ก็เท่านั้นเอง.

ธรรมชาติคือเสาเพราะมันไม่ปรับตามเรา

คนที่เปรียบเสมือนเสา ก็ไม่ต่างจากธรรมชาติที่ไม่ปรับตัวตามใจเรา เมื่อเราเลือกเดินทางใดทางหนึ่งแล้ว มีใครจะล่วงรู้บ้างว่าเราจะประสบพบเจอกับอะไรบ้าง ก็คงแทบจะไม่มีเลย ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของชีวิตก็ย่อมเป็นการไม่ตระหนักรู้เลยว่า ธรรมชาติมันไม่เคยปรับตัวตามใจเราแต่อย่างใด มันเอาแต่ยื่นโจทย์ทุกวัน ทั้งวัน ไม่มีวันหยุดนักขัตฤกษ์ มีแต่จะทำให้เราปวดหัวตลอด ซึ่งคน ๆ นั้นที่เป็นเสา ก็ย่อมสร้างความปวดหัวให้กับเราตลอดทั้งวันเช่นกัน แต่ทว่าเราไม่จำเป็นจะต้องเป็นเสาตามเขา เราลองปรับตัวเป็นน้ำบ้าง ทำตัวให้เล็กลงบ้าง ตัวเล็กแต่ใจไม่ต้องเล็กตามแบบนี้ สิ่งเหล่านี้ย่อมจะทำให้เราเข้าใจถึงสภาวะมวลรวมได้ดียิ่งขึ้น.

ปัญหาที่ยิ่งกว่าปัญหาก็คือ เราทำตัวเล็กแบบผิดวิธี หลายคนอาจจะคิดว่า ตัวเล็กก็คือการลดพื้นที่ลง แต่มันไม่ใช่แบบนั้นเลย จริงอยู่ว่าคนที่มีอัตตาตัวตนที่สูงเขาต้องการพื้นที่ที่เพิ่มอยู่ตลอดเวลา แล้ววันนั้นเขาก็จะไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้ เพียงเพราะเขาไม่เข้าใจธรรมชาติว่า ไม่มีใครอยากตัวเล็กไปตลอด ถ้าเราอยากมีพื้นที่ก็จงมอบพื้นที่ให้กับคนอื่นบ้าง แบ่งอัตตานี้ไปยังคนอื่น เพื่อที่ให้เขาดูตัวใหญ่ขึ้นมาอีกแรงหนึ่งด้วย มันจะไม่เป็นการดีเท่าไรที่จู่ ๆ เราจะไปกดอัตตาของคนอื่นมั่วซั่ว จงเข้าใจและตระหนักให้ดีว่า ไม่มีใคนอยากตัวเล็กตลอดเวลา และการปรับตัวให้เล็กไม่ใช่การลดพื้นที่ลง มันจะมีวิธีการอยู่แต่ต้องอาศัยประสบการณ์ของชีวิตอยู่ร่ำไป.