#69 ความเป็นปฏิปักษ์

ความเป็นปฏิปักษ์

วันนี้ให้ลองสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบข้างกันดูเลยว่า ศัตรูที่แท้จริงคือสิ่งใด มันอาจจะเป็นคน สัตว์ หรือสิ่งของใดก็ตามแต่ ให้ฝึกฝนที่จะเรียนรู้ว่าศัตรูก็คือสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับมิตร แล้วมันมักจะทำลายมากกว่าเป็นตัวริเริ่มก่อเกิดสรรพสิ่งให้ดียิ่งขึ้นได้จริง การลดทอนจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น แล้วการหันหัวเรือไปยังทิศที่ถูกต้องยอมปรากฏเห็นเด่นชัดมากยิ่งขึ้น ถ้าเกิดว่าเราปรารถนาให้ชีวิตรุดหน้าไปยังทิศทางที่ใช่กว่าที่เป็นอยู่.

ศัตรูที่มองไม่เห็นน่ากลัวที่สุด

หากว่าเราสามารถมองเห็นศัตรูที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างชัดแจ้ง เราจะกลัวศัตรูกันไปทำไม แต่ทว่าลองตั้งคำถามกลับด้านกันดูว่า ถ้าศัตรูนั้นเราไม่สามารถมองเห็นมันได้ แถมมันยิ่งมีพิษสงร้ายแรง เราจะจัดการหรือรับมือกับสิ่ง ๆ นั้นอย่างไร ปัญหาของปัญหาก็ย่อมจะเป็นปัญหาอยู่วันยังค่ำ แล้วสิ่งที่เลวร้ายสองสิ่งมาเจอกัน มันก็ไม่ได้แปรผันให้มันกลายเป็นดีได้เลย นั่นคือสิ่งที่เราต้องตั้งหน้าตั้งตาแสวงหาคำตอบของตัวเองว่า ศัตรูใดที่เรามองไม่เห็น แถมยังกัดกินชีวิตจนไม่เหลือชิ้นดี มิหนำซ้ำชีวิตเรากลับแย่ลงไปทุกวัน เมื่อสังเกตแบบนี้ได้เราก็จะเรียนรู้ที่จะรับมือกับปัญหาลับ ๆ ที่แฝงไปด้วยความเสื่อมโทรมที่มิอาจหยุดยั้งไปได้.

ตัวเราเองเป็นสิ่งที่มองเห็นยากที่สุด ลองขบคิดกันดูว่า ถ้าโลกใบนี้ไม่มีกระจกให้เราชะโงกดูเงาของตัวเอง เราคงแทบจะไม่เห็นตัวเองกันจริง ๆ สิ่งใดที่มาย้ำเตือนว่าตัวเราเองมีอยู่ก็คือ การระลึกรู้ถึงการมีตัวตนอยู่นั่นเอง สิ่งมีชีวิตแทบจะเกือบทุกสิ่ง ย่อมมีตัวรู้ตัวนี้ ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกประหลาดอะไรที่เราจะรับรู้ แต่การรับรู้ว่าบางทีความคิด จิตใจ รวมไปถึงอารมณ์ ก็อาจจะมาเป็นศัตรูที่เรามองไม่เห็นก็ได้ บางปัญหามันอาจจะต้องใช้เวลา แล้วเวลานั้นก็เนื่องมาจากตัวเราเองที่เราจะครุ่นคิดถึงตัวตนของเรามากน้อยเพียงใด เนื่องจากบางคนก็รู้จักตัวเองดีเยี่ยมอยู่แล้ว เขาเหล่านั้นจึงสามารถย่นย่อเวลาที่จะลดทอนปัญหาชีวิตลงไปได้กึ่งหนึ่ง.

ตัวเราเองเป็นศัตรูอันร้ายกาจ

บางคนชอบเสพสื่อที่ไม่ค่อยดี บางคนชอบเลือกคบเพื่อนที่ไม่เอาไหน และบางคนก็ตัดสินใจเลือกทางเดินในชีวิตที่สำคัญ ๆ จากอารมณ์ บางทีแล้วชีวิตอาจจะมาบอกกับเราว่า ศัตรูที่น่ากลัวไม่ใช่ใครที่ไหน แต่มันก็คือความคิดและความอ่านของเรานั่นเอง เมื่อเรามีชุดความรู้หนึ่ง เราก็มักจะเชื่อชุดความรู้นั้นไปโดยปริยาย ก็เพียงเพราะเราเป็นคนคิด คนเชื่อนั่นเอง แค่นี้เราจึงเป็นคนที่อาจจะหลงโลก และหลงตัวเองกันไปไกลเลยก็ได้ ขอแค่เพียงมีสติสัมปชัญญะระลึกรู้ว่า บางความคิดของเราเอง อาจจะต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งในการสอบทานความคิดของตัวเองอยู่เนือง ๆ รวมถึงไม่ปักใจเชื่อสิ่งใดที่เพิ่งเรียนรู้มา และจำเป็นจะต้องเผื่อใจในทุก ๆ เรื่องที่ผ่านเข้ามายังชีวิตของเราเสมอ.

ปัญหาที่ใหญ่กว่าตัวเราเองก็คือการหลงตัวเอง ยิ่งเราหลงไปลึกมากแค่ไหน การจะถอดถอนความหลงผิดก็จะยิ่งยากเย็นมากเท่านั้น บางทีศัตรูตัวฉกาจก็อาจมิใช่เพื่อน แฟน พ่อแม่ หรือพี่น้องของเราเอง แต่กลับกลายเป็นตัวตนที่เราบ่มเพาะขึ้นมากับมือ แถมมีกระบวนการสร้างที่แยบยล แนบเนียน ไม่มีเงื่อนงำอะไรให้ติดตามไปได้เลยว่า ตัวเราจะเป็นคนที่ร้ายกาจได้ถึงเพียงนี้ จุดที่แตกหักของความคิดกับความรู้สึกก็คือ เวลาเราทำอะไรลงไป แล้วพอสักพักเรากลับมาคิดได้เองว่า ฉันไม่น่าทำสิ่งนั้นลงไปเลย ฉันมันไม่ดี ฉันมันแย่ หรือว่าก่นด่าตัวเองจากการกระทำในอดีต จนไม่สามารถเยียวยารักษาไปได้อีกแล้ว นั่นรึเปล่าจึงเรียกว่าศัตรูของความคิดในตัวเราเอง.

มีสติเฝ้าสังเกตความคิดและจิตใจ

สติเปรียบเสมือนผู้ที่คอยแนะนำสั่งสอน รวมไปถึงชี้แนะ และความเข้าใจของเราเองก็คือปัญญา บางครั้งความคิดและจิตใจก็มาเป็นตัวบ่งชี้ว่า เราไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าได้ อารมณ์ก็จะแสดงออกมา ไม่ว่าจะเป็นสุข ทุกข์ หรืออื่น ๆ อีกมากมาย ถ้าเราไม่มีตัวเฝ้าระวังเช่นสติ เราก็จะไม่มีคนที่คอยตักเตือนเราไปยังทางที่ถูกต้องได้เลย มันจึงเป็นทั้งโอกาสของชีวิตในตอนนี้ ในเรื่องของความเป็นไปได้ทางจิตใจ การฟูมฟักไปยังชีวิตที่สุขสมบูรณ์ย่อมพอเป็นไปได้ แทนที่จะมามีมุมมองที่คับแคบอยู่ในความคิดเดิม ๆ แต่ให้ลองเปิดใจกว้าง ๆ รับรู้ถึงสภาวธรรมต่าง ๆ ที่มันอยู่รายล้อมตัวเรา นั่นจึงเป็นทางออกของชีวิตเช่นกัน.

รับรู้และเรียนรู้ว่าชีวิตยังมีอะไรอีกมากมาย มันไม่ใช่มีแต่ตัวขวางกั้น หรือเป็นศัตรูของความคิดและจิตใจเพียงส่วนเดียว แต่มันหมายถึงชีวิตที่เราไม่เคยคาดฝันว่าจะเป็นไปนี้ย่อมเป็นผู้สร้างสรรค์ให้โลก สังคม และสรรพสิ่งดีขึ้นได้ จงเริ่มต้นใหม่ คิดใหม่ ทำใหม่ ประสบการณ์ที่เราไม่เคยพบเห็นก็จะปรากฏเห็นที่เด่นชัดมากยิ่งขึ้น ตามมุมมองใหม่ ๆ ที่เรากำลังจะเปิดรับมันมา ศัตรูทางชีวิตก็จะค่อย ๆ มลายจางหายไป ปัญหาของปัญหาที่เราสะสางไป ก็จะมาเป็นขุมพลังให้เราได้นำไปใช้ต่อยอด และพัฒนาชีวิตในส่วนที่เราขาดหายไป มันก็จึงเป็นคำตอบแล้วว่า สติไม่ได้เป็นเพียงตัวช่วย แต่เป็นทั้งกำลังใจและกำลังสมองสืบไป.

เริ่มเปลี่ยนแปลงกระบวนการสร้าง

เหตุย่อมตรงกับผลเสมอมา ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลงที่เหตุ ผลก็ย่อมไม่ถูกแปรเปลี่ยนไป นับจากนี้ให้ลองดูที่ตัวเองมากขึ้น สังเกตชีวิตของตัวเอง และหาข้อมูลใหม่ ๆ เพื่อสอบทานสิ่งที่เป็นอยู่ รับรู้ว่ากระบวนการสร้างของชีวิตได้เริ่มต้นจากสารตั้งต้นที่ถูกต้องเท่านั้น กระบวนการถัดไปก็จึงเป็นไปอย่างสิ่งที่ควรจะเป็นเอง ณ ตอนนี้จึงเป็นวันที่เราไม่สามารถจะตระหนักรู้ หรือตกผลึกอะไรได้เลย แต่ในอนาคตย่อมเกิดขึ้นได้ และสามารถมีความสุขกับสิ่งที่ล้มลุกคลุกคลานได้เหมือนกัน ไม่ต้องเดินอย่างมั่นคงจึงจะมีความสุข ไม่ต้องเป็นมิตรกับตัวเองทุกวันจึงจะต่อกรกับตัวเองได้ และไม่จำเป็นต้องทำอย่างที่สังคมนั้นบอกให้ทำ.

อิสรภาพทางความคิดและจิตใจจะเกิดขึ้น ศัตรูที่อันตรายก็จะไม่ถูกก่อเกิดภายในตนอีกต่อไป นับจากนี้เป็นต้นไป การเริ่มต้นหนทางใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว ใบไม้ได้ผลิใบกลายเป็นดอกไม้ยามค่ำคืน แถมในตอนเช้าตรู่ก็ได้รับแสงแดดอ่อน ๆ ให้ได้สดชื่นกันไปในแต่ละวัน นี่ก็คือชีวิต ชีวิตคือส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ยิ่งไม่ชอบกลับได้ แต่ยิ่งชอบกลับไม่ได้สิ่งนั้น เพราะการเป็นมิตรกับตัวเองคือการรู้จักธรรมชาติของตัวเอง รู้ว่าเราชอบอะไรไม่ชอบอะไร แล้วมีทางไหนพอที่จะแก้ไขให้ชีวิตรุดหน้าไปได้บ้าง นั่นจึงเป็นการเปลี่ยนแปลงกระบวนการสร้างที่ถูกต้อง และมันจะเป็นการแก้ไขที่ตรงจุดมากที่สุด จุดเริ่มต้นก็ย่อมเป็นทางออกได้เหมือนกัน.