#49 ความอดทน

ความอดทน

ความอดทนนั้นเป็นคุณสมบัติหลักของยุคสมัยนี้ รวมไปถึงทุกยุกสมัยสืบไป แล้วก็เป็นคุณสมบัติหนึ่งที่เรามักจะหลงลืมไปว่า ทำไมเราต้องมีความอดทนอดกลั้นกันด้วย ถ้าเราลองสังเกตกันดูให้ละเอียดถี่ถ้วน เราก็จะพบว่าหากเราไม่มีคำว่าอดทนเพียงแค่สิ่งเดียว ชีวิตนั้นก็จะหลุดลอยไปไม่ต่างจากขอนไม้ที่ถูกแม่น้ำพัดพาไปฉะนั้น การอดกลั้นต่อสิ่งที่ยั่วยุ ไม่ว่าจะทางที่ดีหรือทางที่ไม่ดีก็ตามแต่ก็ยังจำเป็นต้องนำมาใช้อยู่เสมอ.

อดทนต่อสิ่งที่ไม่ดี

หากว่าจุดเริ่มต้นของความอดทน นั่นก็คือต้องอดทนต่อสิ่งที่ยั่วยุจากสิ่งที่ยั่วยวนให้ได้เสียก่อน หากเราไม่ปิดประตูอธรรม เราก็คงบ่ายหน้าไปสู่ธรรมะไม่ได้ นั่นคือเหตุและผลที่สำคัญยิ่งในการสร้างวิชาชีวิตให้สุขสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกคบเพื่อน การทำตัวให้เป็นตัวอย่างที่ดีของผู้คนรอบข้างและคนในสังคม ทุกสิ่งอย่างกำลังหล่อหลอมอนาคตอันใกล้ รวมไปถึงอนาคตอันไกลโพ้นด้วยว่า เราจะเป็นคนอย่างไร รูปแบบไหน และวิถีทางใดที่จะส่งผลต่อเนื่องไปสู่ระดับมหภาค สิ่งเล็ก ๆ ที่เราไม่ควรมองข้ามมากที่สุดก็คือ การไม่อดทนต่อสิ่งเร้าที่มันผ่านเข้ามายังชีวิตของเรา แน่นอนว่ามันเป็นสิ่งที่ยากมากในการเลือกทางเดินชีวิต แต่มันก็ง่ายกว่าการไม่อดทนต่ออะไรเลยก็แล้วกัน.

ปัญหาหลักของสิ่งที่ไม่ดีนั่นก็คือ มันมาเหมือนว่าจะดีตอนแรก ๆ เปรียบเสมือนกับน้ำผึ้งที่ถูกอาบยาพิษเอาไว้ ภายนอกเราอาจจะไม่รับรู้ถึงยาพิษภายในนั้น แต่ถ้าเราถลำตัวเข้าไปชิมหรือกินเข้าไปแล้ว พิษนั้นก็จะเข้าสู่กระแสเลือดและทำลายตัวเราในท้ายที่สุด ความอดทนนั้นจึงมีคุณอนันต์ ถ้าเราสามารถที่จะนำมาใช้ให้ถูกหลัก กระนั้น บางคนก็อาจจะยังไม่เข้าใจว่า แล้วเราจะแยกแยะได้อย่างไรว่าสิ่งไหนดีหรือไม่ดี คำตอบที่ง่ายที่สุดก็คือ ทางที่คนส่วนใหญ่กำลังเดิน มักจะเป็นทางที่ผิดเสมอ การสอบทานและคิดพิจารณาจึงจำเป็นอยู่ร่ำไป ถ้าหากเราขาดการไตร่ตรองสิ่งที่ไม่ดีที่เข้ามายังชีวิตของเรา มันก็จะส่งผลทำให้เราไม่สามารถอดทนต่อสิ่งเร้าใด ๆ ได้เลย.

อดทนทำความดีอย่างต่อเนื่อง

ความดีที่เราเริ่มต้นสร้าง และคุณสมบัติของการอดทนในการทำความดี เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้ไปกว่าการอดทนต่อสิ่งยั่วยวนเลย ทว่า ผู้คนมากมายอาจจะหลงคิดไปว่า เพียงแค่ไม่ทำความไม่ดีก็น่าจะเพียงพอต่อการใช้ชีวิตแล้ว แต่ในความเป็นจริงการหลีกเลี่ยงการทำไม่ดี ก็ไม่ได้แปลว่าเรากำลังทำความดีอยู่ เพราะการทำความดีมันคนละส่วนกับการหลีกเลี่ยงการทำไม่ดีอย่างสิ้นเชิง เปรียบเสมือนการที่เรางดเว้นการทำชั่ว ก็หมายถึงเรามีโอกาสที่จะทำดีได้มากยิ่งขึ้นแค่นั้น ไม่มีอะไรนอกเหนือจากนั้นเลย ปัญหาชีวิตจะรุมเร้าเรา ถ้าหากว่าเราเพิกเฉยในการทำความดี และประมาทคิดไปว่า ความดีทำเพียงแค่ไม่กี่ครั้งก็พอแล้ว มิหนำซ้ำยุคสมัยนี้ผู้คนก็อาจจะไร้ซึ่งศาสนา พึ่งพาความคิด ความเชื่อของปัจเจกชน.

ลองย้อนกลับมาคิดดูอีกสักรอบว่า การทำความดีอย่างต่อเนื่องนั้นมีผลต่อชีวิต และธรรมชาติมากน้อยเพียงใด แน่นอนว่าการทำความดีเป็นของง่ายสำหรับบุคคลที่ฝึกฝนในการทำความดีอย่างต่อเนื่อง แต่ก็เป็นของยากสำหรับผู้ที่ไม่เคยโน้มเอียงมาทำความดีกันเลย หากเรามองกันอย่างลึกซึ้งเราก็จะพบว่า ผู้คนที่กำลังเลือกทางเดิน ก็ล้วนแต่ต้องผ่านประสบการณ์อันเจ็บปวดรวดร้าวมาด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการไม่อดทนต่อสิ่งเร้า และไม่เคยทำความดีอย่างต่อเนื่อง มันจึงเป็นที่มาของปัญหาต่าง ๆ ที่เข้ามาอย่างไม่มีวันหยุดพัก พอปัญหามากเข้า เราก็จะเกิดกระบวนการความคิดที่อยากจะหนีปัญหา ความอดทนจึงกลายเป็นของที่ไม่ได้นำมาใช้อย่างถูกต้องเท่าที่ควร.

อดทนต่อคำติฉินนินทา

เมื่อโลกขับเคลื่อนไปด้วยความแตกต่าง ความไม่เหมือนกันนั้นก็ย่อมส่งผลต่อการเปรียบเทียบซึ่งกันและกัน เพราะโลกนี้ไม่ได้มีด้านเดียว มันประกอบไปด้วยทวิลักษณ์ที่มีทั้งขาวกับดำ สุขกับทุกข์ รวมไปถึงยึดถือกับไม่ยึดถือ ที่เราไม่มีวันจะบรรจบกันได้เลย ถ้าเราสังเกตกันให้ดี ๆ เราก็จะตระหนักถึงปัญหาที่ใหญ่ที่สุด นั่นก็คือทุกคนต้องการจะสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ยิ่งสูงก็ยิ่งดี ถ้าเราต่ำต้อยกว่าคนอื่น เราก็มักจะด้อยค่าตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นเราก็จะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า จนถึงขั้นอยากจากโลกนี้ไป เพราะเรามันไม่มีความสลักสำคัญต่อสิ่งใดเลย ทุกปัญหารวมอยู่ตรงคำที่ว่า เราไม่สามารถอดทนต่อคำติฉินนินทาได้นั่นเอง พอเราเริ่มรับรู้สิ่งนี้ สติจะเข้ามาแทนที่ความหลง หลังจากนั้นสติจะรับรู้ว่า เราก็ไม่ได้ดีไปกว่าใคร แต่เราก็ไม่ได้แย่เลยนะ.

โลกธรรม 8 เป็นของคู่โลกที่มีทั้งสุขก็มีทุกข์ มีลาภก็มีเสื่อมลาภ มียศก็มีเสื่อมยศ มีสรรเสริญก็ย่อมมีนินทา หากเรารู้เท่าทันสิ่งเหล่านี้ ใจเราจะวางใจไว้เป็นกลาง ไม่ได้ยินดีเมื่อได้รับคำชมมากจนเกินพอดี และไม่ได้ยินร้ายเมื่อได้รับคำด่าจนเกินกว่าที่เราจะรับมันไหว ศาสตร์และศิลป์ในการอดทนจึงเป็นสิ่งที่ต้องพึงนำมาปฏิบัติอย่างถูกที่ถูกเวลา หาได้เป็นการใช้ความอดทนกันทุกเมื่อเชื่อวัน เพียงแต่ถ้าเราไม่เคยฝึกฝนที่จะอดโทษต่อสิ่งที่เข้ามากระทบกับความรู้สึก เราก็จะใช้ชีวิตต่อไปในสังคมได้ยากมากขึ้นเรื่อย ๆ ความปล่อยวางหลังจากที่เราผ่านความอดทนมาแล้วก็จึงจำเป็นไม่แพ้กัน สิ่งที่สำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าใครพูดถึงเราอย่างไร แต่เป็นการตีความของตัวเราเองมากกว่าว่า เรามีคุณค่าจริง ๆ หรือไม่.

เบื้องหลังของความอดทนคือความเข้าใจ

ถ้าเราอดทนอดกลั้นต่อทุกสิ่งอย่าง โดยขาดความเข้าใจว่าอดทนไปทำไม เราจะอดทนกับสิ่งนั้นได้นานเท่าไรกันเชียว ยิ่งเราขาดการเข้าใจกับความอดทน มันจะหนักหน่วงกว่าการที่เราไม่เข้าใจต่อธรรมชาติอย่างมหาศาล เพียงเพราะว่าความอดทนมันจะต้องใช้เวลาเข้าร่วมด้วยเสมอ แล้วยิ่งถ้าเราไม่มีความเข้าใจเป็นทุนเดิม ความอดทนก็จะเหมือนนาฬิกาทรายที่รอวันนับถอยหลังอยู่ตลอดเวลา เบื้องหลังของความอดทนจึงจำเป็นจะต้องประกอบไปด้วยความเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า เราอดทนไปเพื่อสิ่งใด เราอดทนไปนานขนาดนี้มันจะช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้นได้จริง ๆ เหรอ หรือเราควรจะต้องยอมรับได้แล้วว่าต่อให้อดทนไปมากน้อยเพียงใด ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นไปมากกว่านี้.

เมื่อถึงจุดคลี่คลายลง เราจะค้นพบได้ว่าความอดทนมีประโยชน์อย่างยิ่ง ในทุก ๆ สถาน ไม่จำเพาะเพียงสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง ถ้าเราอยากจะมีเงินทองมากมายก็ต้องอดทนในการศึกษาเรื่องการเงิน และการลงทุนให้มากเข้าไว้ ถ้าเราอยากมีคู่ชีวิตที่สุขสมบูรณ์ก็ย่อมต้องอดทนต่อการปรับตัว หรือการทะเลาะเบาะแว้งกันบ้างตามธรรมดา และไม่ว่าจะขยับเขยื้อนตัวไปไหน เราก็จำเป็นจะต้องมีความเข้าใจต่อสิ่งนั้นอยู่ดี ความเข้าใจจึงเป็นส่วนที่สำคัญไม่แพ้ไปกว่าตัวความอดทนเลยด้วยซ้ำ เหตุผลในการมีชีวิตอยู่ของเราคืออะไร บางสิ่งควรอดทน แต่บางสิ่งเราก็ควรยอมรับมันไปเลย สิ่งทั้งหมดทั้งมวลล้วนแต่ต้องย่อความโดยใช้คำเพียงหนึ่งคำนั่นก็คือ อย่าลืมที่จะใช้ปัญญาในการอดทนด้วยเสมอ.