คงไม่มีใครไม่เคยเจอความรู้สึกผิด มันคงจะเป็นความรู้สึกที่ไม่เคยลบเลือน หรือจางหายไป มันติดอยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งตลอดเวลา หลายคนไม่ได้ตั้งคำถามกับความรู้สึกนี้ บางทีเราก็ไม่สามารถจัดการมันด้วยการให้เวลาล่วงเลยไปเอง.
รากฐานคือความยึดติด
ไม่มีใครหรอกที่จะห้ามความคิด คำพูด หรือการกระทำได้ ก็คงมีเพียงแต่คนที่ฝึกตนไว้ดีแล้วเท่านั้น ผู้คนส่วนมากไม่เข้าใจคำว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนผ่านไปแล้ว ไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้” จิตใจก็เลยวกวนอยู่กับอดีตที่ล่วงเลยไป หาได้อยู่กับปัจจุบันขณะไม่ บางทีการที่เราทำอะไรไม่ดีมันก็อาจจะสอนเราได้ในบางช่วงของชีวิตว่า การที่จะกลับไปแก้ไขไม่สามารถพึงกระทำได้ ทำได้แต่เพียงยอมรับมันเท่านั้นเอง.
ไม่ว่าจะเคยทำผิดพลาดอะไรมาสิ่งนั้นจะเป็นประสบการณ์อันล้ำค่า ซึ่งหาที่ไหนมิได้เลยก็มาจากความผิดพลาดทั้งหมดนั่นแล สิ่งที่ควรเริ่มต้นก็คือเข้าใจว่าเราได้กระทำสิ่ง ๆ นั้นไปแล้ว มันล่วงเลยผ่านไปแล้วไม่สามารถย้อนกลับมาดังใจนึกได้ คุณทำได้เพียงนำสิ่งที่เป็นอดีตกลับมาแก้ไขปัจจุบันให้ดีขึ้น โดยอาศัยปัญญาเป็นตัวชี้นำว่าจะทำสิ่งใดให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้ แต่ก็นั่นแหละไม่มีใครสามารถตอบได้ว่า คุณควรจะจัดการกับอารมณ์นี้ได้อยากถูกวิธี เพราะวิธีการนั้นไม่ตายตัวมันขึ้นอยู่กับหนทางของคุณเอง ปล่อยวางอดีตที่พันตัวคุณ แล้วเริ่มต้นด้วยการใช้สติปัญญาเป็นตัวนำทางเดินของชีวิต แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง.
ประโยชน์ที่เรามองข้ามไป
ถ้าไม่มีความรู้สึกผิดก็คงไม่มีการยอมรับความจริง แล้วก็จะไม่มีการปรับปรุงแก้ไขสิ่งใด ๆ เลย มันก็นำมาซึ่งหายนะที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ การที่เรารู้สึกผิดเป็นสิ่งที่ดีถ้าเรานำมาใช้อย่างถูกทาง เพราะการที่จะยอมรับซึ่งความจริงเป็นสิ่งที่ยากพอตัว แต่การที่เราไม่ยอมรับความจริงมันทำให้ปัญหานั้นไม่ถูกสะสางอย่างถูกวิธี นั่นก็นำมาซึ่งปัญหาที่พอกพูนใหญ่โตจนเกินตัวที่คุณจะรับไหว หลายคนจึงพ่ายแพ้ต่อปัญหาในชีวิตที่ถาโถมเข้ามาพร้อม ๆ กัน ภายในครั้งเดียว หรือระลอกเดียวกัน พละกำลังก็ไม่มีเพราะไม่ได้ฝึกไว้ เราจึงพ่ายแพ้ต่อปัญหาอย่างง่ายดาย.
หนทางเดียวที่จะชนะปัญหาที่รู้สึกผิดได้ คือการมองมันที่ปัจจัยหลัก ปัจจัยหลักคือการ ‘ไม่ปล่อยวางอดีต’ เท่านั้นเอง พอเราเริ่มปล่อยวางอดีต เราเริ่มที่จะเห็นแสงสว่างที่ปลายทาง หลังจากนั้นเราจะเข้าใจปัญหานั้น ว่ามันไม่ได้ขึ้นอยู่ความผิดพลาดหรอก เพราะใคร ๆ ก็สามารถผิดพลาดกันได้แต่เป็นที่ใจเรานั้น ที่ยังคงหมุนเวียนครุ่นคิดไม่ตกที่จะแก้คลายปัญหานั้นโดยการคิดแล้วคิดอีก แล้วก็เป็นที่มาของโรคนานาชนิดที่เกี่ยวข้องกับภาวะจิตใจ ที่ไม่ยอมเข้าใจโลกตามความเป็นจริง.
ระวังความคิดให้ดี
มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ควรระวังยิ่งกว่าภัยอื่นใด คือ “ภัยความคิด” การที่เราใช้สมองจนเคยชิน มันก็หลงลืมไปว่าสมองนี้ไม่ใช่จะให้คิดแต่เรื่องไร้สาระ มันต้องคิดหาทางออก คนส่วนใหญ่ก็ใช้เวลาทิ้งไปกับอดีต และอนาคต จนลืมปัจจุบันที่มีค่าไป เราควรอยู่กับปัจจุบันไม่ใช่เหรอ ก็ในเมื่อโลกสร้างให้เรามีสมองเพื่อหาทางแก้ไข แต่ไหงเรากลับไม่ได้แก้ไขอะไร รังแต่จะสร้างปัญหาให้มันมากมาย.
ความคิดที่ว่าไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้เราคลายความเศร้าได้ หรือความคิดที่ว่าความผิดพลาดในอดีตมิอาจให้อภัยตัวเองได้ มันก็รังแต่จะสร้างความรำคาญในจิตใจ ปัญหามันอยู่ที่ตรงนี้แหละ “ความคิดที่ไม่ดีเวลาเราอยู่กับมัน มันก็จะทำลายตัวมันเอง” อย่าพยายามให้ความคิดทำร้ายตัวเองโดยการที่ใช้ความผิดพลาดเป็นมีดทิ่มแทง เพราะไม่มีใครทำร้ายคุณสักคนก็มีแต่คุณเองนั่นแหละที่ใช้ความคิดของตัวเอง ทิ่มแทงตัวเองอย่างไม่หยุดหย่อนสักที แต่เปลี่ยนเป็นฝึกที่จะเข้าใจมันเสียดีกว่า ไม่เช่นนั้นคุณจะอยู่ในดินแดนแห่งความเจ็บปวดทรมาน การเยียวยาไม่มีหนทางอื่นเลยนอกเสียจากเปลี่ยน ‘ความคิด’ ของตัวคุณเองแค่นี้จริง ๆ ที่ทำได้ลองดู.
รู้สึก ไม่เท่ากับ ผิด
คุณค่าในตัวเองนั้นสำคัญไฉน มันคือพลังงานซ่อนเร้นอยู่ภายในตัวเราทุกคน การที่จะใช้พลังนี้ต่อกรกับปัญหาเป็นสิ่งที่สำคัญมากยิ่ง ปัญหานั้นมิอาจแก้ไขได้โดยการใช้เวลาให้ผ่านไป มิอาจแก้ไขด้วยการไปเที่ยวเตร่ หรือว่ากินเหล้า เมายา นั่นเป็นหนทางที่ทำให้ความรู้สึกผิดยิ่งทวีคูณ การฝึกพลังใจนั่นก็คือการฝึก ‘สติ’ รู้ตัวในภาวะปัจจุบันขณะ ว่านี้วันที่เท่าไหร่แล้ว เรื่องที่ผ่านมามันวันที่เท่าไหร่แล้ว มันจะช่วยให้เรารู้ตัวว่า เราเริ่มต้นใหม่ได้ทุกวันแต่ทำไมเราถึงไม่เริ่มต้นใหม่จริง ๆ กันสักที อะไรที่ไม่สามารถทำได้ก็ไม่ต้องไปทำมัน.
ความรู้สึกจึงไม่เท่ากับผิด เพราะความรู้สึกทำให้เรามีชีวิตจิตใจ ถ้าเราปิดกั้นความรู้สึกต่อไปจะกลายเป็นปัญหาต่อไปอีก บางทีการสร้างคุณค่าในตัวเองผ่านการทำความดีก็เป็นสิ่งที่ควรเอามาก ๆ ยิ่งเราทำความดี ชีวิตเราจะมีคุณค่ามากขึ้น มันก็จะเป็นคำตอบให้ตัวคุณเองด้วย ในสิ่งที่ทำอยู่นี้มันทำให้ใครเกิดประโยชน์ขึ้นบ้างไหม เราสามารถรับสิ่งอื่น ๆ เพื่อต่อยอดมันได้บ้างไหม หรือเรานั้นไร้ค่าไปแล้ว นั่นคือคำถามที่คุณควรตั้งกับตัวเอง เพื่อที่จะมุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพพลังงานซ่อนเร้นที่อยู่ในตัวเอง พลังใจจะไม่เกิดขึ้นเอง แล้วคุณก็ควรฝึกปรือมันให้มาก.