ถ้าความน่ารักเป็นเพียงแค่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เรามีความสุขในชีวิต มันก็คงเป็นเงื่อนไขที่เราทุกคนจำเป็นจะต้องน่ารักกัน ซึ่งความน่ารักในที่นี้ไม่ใช่หมายความเพียงแค่หน้าตาหรือรูปลักษณ์ภายนอก แต่มันเป็นจริตจิตใจที่เราได้ส่งต่อไปยังอนาคตของเรา แล้วมันจะกลายเป็นสิ่งที่สลักสำคัญต่อชีวิตมวลรวม เพราะถ้าเราทำตัวน่ารักน่าเอ็นดูจริง ๆ มันก็จะทำให้ทุกคนสามารถรักเราได้เช่นกัน.
ความน่ารักเป็นจุดเริ่มต้น
การทำตัวน่ารักใคร่นั้น ก็ย่อมเป็นสิ่งที่ทำให้คน ๆ นั้นกล้าที่จะแสดงออกถึงความเป็นตัวตนที่ถูกปิดบังเอาไว้ได้ บางคนกลัวการวางตัวที่น่ารัก เพราะเกรงว่าจะมีคนชอบพอเยอะ หรือว่าบางคนก็กลัวที่จะทำตัวไม่น่ารัก เพราะเกรงว่าจะมีคนไม่ชอบพอเยอะ ไม่ว่าสิ่งใดก็ตามที่จะกำหนดทิศทางไปยังอนาคตนั้น ก็ไม่สำคัญเท่ากับเรารู้หรือเปล่าว่าเรามีมุมน่ารักที่ไม่เหมือนกัน เราต่างคนต่างมีมุมที่น่ารักด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เพียงแต่เราอาจจะไม่ได้เห็นหรือสัมผัสความน่ารักภายในตนก็เท่านั้นเอง หน้าที่ของเราทุกคนก็คือค้นหาพลังภายในตนเอง แล้วก็เรียนรู้ว่าสิ่ง ๆ นั้นสามารถส่งต่อไปยังคนอื่นได้ไหม รวมไปถึงต่อยอดไปยังอนาคตได้รึเปล่า.
ปัญหาอาจจะไม่ได้อยู่ที่ความน่ารักด้วยส่วนเดียว แต่อาจจะอยู่ตรงที่เราสามารถดึงความน่ารักออกมาได้มากที่สุดแค่ไหนเสียมากกว่า เพราะถ้าเราดึงมันออกมาจากตัวตนเดิมแท้เราไม่ได้ เราก็จะไม่สามารถที่จะทำให้คนอื่นมาชอบมารักเราได้เลย มันไม่ได้ส่งผลแค่ภาวะมวลรวมของชีวิต แต่มันส่งผลไปถึงสภาวะจิตใจของเราด้วยว่า เราจะไม่มีความพึงพอใจในตนเอง รวมไปถึงความมั่นใจที่ตามมาติด ๆ ได้เลย ทว่า ชีวิตมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ง่ายดายในการที่เราจะสร้างอัตลักษณ์ตัวตนให้น่ารักน่าเอ็นดู แต่อย่างน้อยที่สุดเราก็ได้พยายามอย่างสุดความสามารถในการเกิดมาครั้งนี้ว่า เราจะทำให้ตัวเราเองให้มีคุณค่ามากที่สุด.
สังคมนิยมที่หน้าตา
เมื่อการทำตัวน่ารักจึงไม่สำคัญเท่ากับหน้าตาที่น่ารัก มันจึงเป็นที่มาของคำว่าเรามักจะสนใจรูปลักษณ์ภายนอกกันเสียมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นสีผิว สัดส่วน รวมไปถึงความสมมาตรของใบหน้าและร่างกายตามมา กระนั้น ชีวิตของคนในสังคมก็จึงถูกเบียดไปด้วยความเกิดมาน่ารัก มากกว่าการมาสร้างความน่ารักกันที่อัตลักษณ์ตัวตน ปัญหาของสังคมก็จึงขยายใหญ่ขึ้นมาก เพราะถ้าเรามีหน้าตาที่ดี ก็หมายถึงใบเบิกทางอันน่าชื่นมื่น แต่แล้วสิ่งที่เรามองกับสิ่งที่มันเป็นไป เริ่มถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง นั่นจึงเป็นโอกาสของทั้งคนที่มีความน่ารักอยู่แล้วเป็นทุนเดิม ประกอบกับคนที่อยากจะสร้างความน่ารักไปพร้อม ๆ กันด้วย.
ถ้าหากเราสามารถปรับแต่งนิสัย ความคิด และจิตใจได้เหมือนหน้าตาภายนอก ที่มีการตกแต่งให้ดูน่าชม เราจะดูน่ารักน่าเอ็นดูเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด จากคำถามเป็นตัวนำมาซึ่งคำตอบที่ว่า เราสามารถเรียนรู้จักชีวิตของตัวเองมากขึ้นได้อย่างไร ท่ามกลางสังคมนิยมที่หน้าตาเป็นหลัก และถ้าเราไม่มีหน้าตาที่น่ารัก แล้วมีเพียงแต่จิตใจที่น่ารัก เราจะสามารถมีคนที่มองเห็นเราได้ไหม นั่นจึงเป็นความท้าทายต่อปัจเจกชนอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการก้าวข้ามผ่านรูปลักษณ์ภายนอก รวมไปถึงการมองไปยังที่จิตใจเดิมแท้ของคน ๆ นั้น บางทีคำว่าจิตใจมันสะท้อนมาที่หน้าตา ก็อาจจะมีส่วนถูกบ้าง แต่ยุคสมัยนี้อาจจะนำมาใช้ทั้งหมดไม่ได้แล้ว.
สิ่งใดถาวรสิ่งใดชั่วคราว
การแยกสองสิ่งออกจากกันไป ก็จะทำให้เรารับรู้ว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ภายนอก แต่มันอยู่กันที่ภายใน บางคนมีหน้าตาที่น่ารักแต่จิตใจไม่น่ารัก เขาเหล่านั้นจะสามารถอยู่รอดไปได้นานแค่ไหน กลับกันถ้าเรามีหน้าตาที่ไม่น่ารัก แต่มีจิตใจที่น่ารัก เขาเหล่านั้นจะสามารถมีความสุขในชีวิตได้ไหม ไม่ว่าแง่มุมใดก็ตาม ทุกคนล้วนมีเหตุผลในการมีชีวิตอยู่ที่แตกต่างกัน เจตจำนงของชีวิตก็จึงผิดแผกแตกต่างกันไป ตามทรัพยากรที่เรามี บ้างก็มีทรัพยากรมาก แต่ใช้ไม่ได้เกิดประโยชน์สูงที่สุด บ้างก็มีทรัพยากรน้อยกว่า แต่ก็สามารถใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างมหาศาล สิ่งเหล่านี้ไม่มีสิ่งใดกำหนดตายตัวว่า คนที่เป็นแบบไหนต้องมีชีวิตอย่างไร.
แต่เราสามารถกำหนดมันขึ้นมาท่ามกลางความเป็นจริงว่า ถ้าความสุขของเรามันอาศัยสิ่งที่เราไม่มีมันจะทำให้เราทุกข์หนัก มนุษย์ที่เปี่ยมไปด้วยปัญญาในการดำเนินชีวิตล้วนตระหนักดีว่า ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงได้นอกจากความคิด และทัศนคติของเราจริง ๆ เพราะถึงแม้ภายนอกเราจะเป็นอย่างไร ก็ไม่สำคัญเท่ากับภายในที่เรายืนหยัดด้วยจิตใจที่หนักแน่นและมั่นคง หน้าที่ของทุกคนก็คือ เราจำเป็นจะต้องพัฒนาสิ่งที่มีอยู่แล้วให้เกิดประโยชน์ ไม่ว่าจะต่อตนเองหรือต่อผู้อื่น นี่จึงจะเป็นความน่ารักที่แท้จริงต่อสิ่งที่เรียกว่าการเกิดมาของมนุษย์ มิใช่เพียงแค่เราเกิดมาโชคดี แล้วเราก็ใช้ความโชคดีนั้น แต่มันต้องรวมไปถึงความโชคร้ายที่แปรเปลี่ยนเป็นพลังงานบวกสืบไปด้วย.
ลูกรักพระเจ้าไม่มีจริง
เมื่อคำพูดบางคำถูกพูดอย่างหนาหูมากขึ้นทุกที ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคนที่เกิดมาหน้าตาน่ารัก ก็เพียงเพราะเป็นลูกรักของพระเจ้า แต่ในความเป็นจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ ถ้าเรามองกันอย่างละเอียดถี่ถ้วนจริง ๆ คนส่วนมากที่มีหน้าตาที่ดี ก็ย่อมมีจิตใจที่ดีโดยพื้นฐาน เสมือนว่าหน้าตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ เราทุกคนจึงมีเป้าหมายเดียวกันโดยมิได้นัดหมายนั่นคือ ความต้องการเป็นที่ยอมรับ ต้องการเป็นที่รัก และต้องการความสุขที่เนื่องด้วยความพึงพอใจของตัวเองเป็นหลัก ชีวิตจึงไม่มีสูตรสำเร็จว่าเราควรจะต้องทำอย่างไร แต่อย่างน้อยเราก็ต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจความจริงอยู่ข้อหนึ่งว่า เราทำอะไรก็ได้อย่างนั้น ถ้าเราอยากมีหน้าตาที่น่ารักน่าชม ก็ต้องทำตัวให้เป็นที่รักใคร่ก่อนเสมอ.
ความสุขจึงเป็นแค่มุมมองหนึ่งจากสายตาหลายคู่ที่มองมาที่เรา เพราะอันที่จริงความสุขนั้นมีหลากหลายรูปแบบ บางคนสามารถมีความสุขได้โดยที่ไม่พึ่งพาพระเจ้า แต่เขาเหล่านั้นกลับพึ่งพาตัวเองเป็นส่วนใหญ่ ชีวิตจึงเป็นคำถามปลายเปิดที่ให้ทุกคนร่วมหาคำตอบกัน คำว่าผิดหรือถูกจึงเป็นแค่กรอบไว้กั้นความคิดเราเอาไว้เท่านั้นเอง ก็ถ้าเราลองเปิดกรอบเหล่านี้ออกมา เราก็จะรับรู้ภาพตรงกันว่าเราไม่สามารถทำอะไรได้เลย นอกจากความรู้สึกดีที่เรามีให้ตัวเราเอง ไม่ว่าทั้งการโอบกอดตัวเอง การรักตัวเองอย่างสิ่งที่ตัวเองเป็น และการไม่กล่าวโทษตัวเองรวมไปถึงคนอื่นที่เขามองมายังที่ตัวเรา แล้วหลังจากนี้ที่เราอ่านข้อความนี้ เราจะเข้าใจว่าทุกคนก็ต้องอยู่ร่วมในสังคมเดียวกันตลอดมา.