การเกิดขึ้นของสิ่งมีชีวิตนั้น มิได้มอบความหมายให้กับสิ่ง ๆ นั้น มีแต่สิ่งมีชีวิตนั้นได้เริ่มขบคิดถึงการมีอยู่ของตัวเอง นั่นจึงเป็นการอุบัติขึ้นของสติปัญญาอันล้ำลึกของมวลมนุษยชาติ หากแต่เพียงวันนี้เราได้เริ่มต้นตั้งคำถามว่า ชีวิตของเรานี้เกิดมาเพื่อสิ่งใด แล้วเราจะใช้ชีวิตต่อจากนี้ด้วยวิถีทางใด โอกาสในชีวิตของเราก็จะถูกเปลี่ยนไปตามความคิดของปัจจุบันขณะอย่างสิ้นเชิง ลองเปิดโอกาสให้กับตัวเองได้ใช้ชีวิตอย่างสิ่งที่ควรจะเป็น.
ความหมายคืออะไร
สิ่งใดที่เราให้ค่ามัน สิ่งนั้นย่อมมีความหมาย นี่คือสัญลักษณ์ของความหมายที่มนุษย์นั้นมอบให้กับวัตถุ สิ่งของต่าง ๆ แม้กระทั่งจิตใจของคนเราก็ย่อมมีความหมายสำหรับตัวเอง แต่บางครั้งจิตใจคนอื่นก็ไม่ได้มีความหมายอันใดกับความคิดเราเลย การตีความจึงเกิดขึ้นมาเพียงแค่เป็นแง่มุมให้ได้ฉุกคิด มิใช่เป็นการสร้างขึ้นมาเพื่อยึดติดลักษณะใดลักษณะหนึ่ง แต่มันก็คงเป็นเพียงแค่ความทรงจำที่เกิดขึ้นมาในห้วงเวลานี้เท่านั้น ลองสังเกตสิ่งรอบข้างดูว่า เราให้ความหมายกับสิ่งใดบ้าง วันนี้เราคงรักษาความหมายนั้นได้หรือไม่ แล้วความหมายนี้มีใครเป็นคนกำหนดมันขึ้นมา คุณลักษณะที่เราชอบไม่ชอบมันเกิดจากความหมายหรือเพราะใจเรานั้นให้ค่าเอง.
ไม่มีสิ่งใดจะมีความหมายเท่ากับใจเรานั้นให้ค่า ถ้าใจเราให้ค่าสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมมีความหมาย เปรียบเสมือนแสงไฟที่มีมาอยู่อย่างยาวนาน หากเราไม่ต้องมองหาสิ่งใดบริเวณรอบข้างตัวเรา เราก็คงไม่เห็นคุณค่าของแสงไฟนั้น ฉันใดก็ฉันนั้น ความรักที่มีมาอยู่ก่อน พ่อแม่ที่คอยบอกสอนเรา หากท่านสอนเราในช่วงจังหวะเวลาที่เราไม่ได้ต้องการจะรับรู้ เราก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ปิดกั้นความเข้าใจไป เมื่อนั้นปัญหาก็จะตามมาอย่างมากมาย แล้วปัญหาหลัก ๆ ในชีวิตก็คือเราไม่รู้ความหมายของสิ่งที่เกิดขึ้น มันก็จึงทำให้ความเลวร้ายลุกลามไปไกลเหมือนโรคมะเร็งที่คอยกัดกินชีวิตเราไปทีละนิดทีละหน่อย พอถึงจุดอิ่มตัวแล้ว มันก็จะย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งนั้นไม่ได้อีกต่อไป.
ต่อให้ใจไม่ให้ค่าสิ่งนั้นก็ยังคงมีค่า
แม้กระทั่งวัตถุสิ่งของต่าง ๆ ต่อให้เราไม่ให้คุณค่ากับมัน มันก็ยังมีค่าฉันใด คนบางคนในโลกต่อให้คนประณามด่าว่าทุกวัน แต่เขายังอดทนต่อคำเหล่านั้นได้ เขาก็ยังคงมีค่าฉันนั้น ชีวิตหนึ่งที่เราได้เกิดมาบางครั้งเราอาจจะได้สัจธรรม คติสอนใจ หรือว่าเกร็ดความรู้ที่จะนำมาปรับใช้กับชีวิตได้แค่เพียงไม่กี่ประโยค เราอาจจะสูญเสียเวลากับสิ่งที่ไม่ใช่นานเกินไป จนเราหลงลืมที่จะตามหาสิ่งที่ใช่จริง ๆ สำหรับชีวิต แล้วการที่มนุษย์ทุกคนเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้อย่างสิ่งที่มันเป็นนั้น จึงเปรียบเสมือนสิ่งมหัศจรรย์ของโลกใบนี้เลยเสียด้วยซ้ำ เพราะไม่มีใครเลยที่จะมีสติเพียงพอในการหยุดกระทำในสิ่งที่ไม่ก่อเกิดประโยชน์ในระยะยาว แล้วมุ่งมาดปรารถนาในการสร้างการกระทำที่ก่อเกิดประโยชน์ในบั้นปลาย.
จงใช้เวลาอย่างคุ้มค่ามากที่สุด นี่คือความหมายของชีวิตอย่างแท้จริง หลีกเลี่ยงกับการเสียเวลาอยู่กับสิ่งที่ไม่มีความหมายต่อชีวิตของเรา เลือกสรรให้จงได้ว่าสิ่งใดที่มีคุณค่าด้วยตัวของมันเอง รักษาสิ่งนั้นให้ตราบนานเท่านาน ไม่ต้องไปฟังเสียงผู้คนในสังคมมากมายว่าอะไรเป็นสิ่งที่สำคัญ หรือไม่สำคัญ ตัวเราเองมีหน้าที่กลั่นกรองด้วยสติปัญญา ความรู้ที่สั่งสม และความสามารถอันพึงมีของเรา ในการตรวจสอบ สอบทาน และพินิจพิจารณาหลักฐานให้แน่ชัดแล้วลงมือปฏิบัติต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ตามความเชื่อและความศรัทธาที่มีอยู่กับชีวิตเนื่องด้วยตัวของเราเองเป็นหลัก หลังจากนั้นเราจะค้บพบความหมายของสิ่งต่าง ๆ มากยิ่งขึ้นตามลำดับ.
ทำตัวเองให้มีค่าคือจุดเริ่มต้นของความหมาย
การสร้างอัตลักษณ์ตัวตนใหม่ หรือทำอันเก่าปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นนั้น คล้ายกับอุดมคติในชีวิตของคน ๆ หนึ่ง เรามิอาจบ่งชี้ได้ว่า ใครเป็นคนดี หรือใครเป็นคนไม่ดี ก็เพียงเพราะเขาคิดหรือพูดโดยส่วนเดียว แต่เราจะตัดสินผู้คนผ่านการกระทำที่ซ้ำไปซ้ำมา มันอาจจะฟังดูเหมือนว่าเราตัดสินคนที่ภายนอกทั้งหมดไม่ได้ก็จริง แต่เราจะสังเกตเห็นได้ว่า เนื้อแท้ของแต่ละคนที่แตกต่างกัน ก็ย่อมมีผลลัพธ์ของการกระทำที่แตกต่างกันไปด้วย แสดงว่าการกระทำที่มีคุณค่านั้นเป็นเพียงแง่มุมหนึ่งเท่านั้น เพราะไม่จำเป็นต้องทำตามก็ได้ แล้วถ้าเรามองให้ละเอียดถี่ถ้วน ความหมายของชีวิตก็คือการที่เราสร้างความหมายให้กับชีวิตของเรา ด้วยการกระทำของเราทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ได้มาจากผู้คนในสังคมนั้นมาตัดสินเราเลย.
ซึ่งการกระทำจะเป็นตัวตัดสินได้ดีที่สุด จะมีคนบางกลุ่มที่ถืออภิสิทธิ์เหนือใครแล้วกล่าวอ้างเอาเองว่า ต่อให้เราทำแบบนี้ลงไปหลาย ๆ ครั้ง ก็ยังไม่สามารถมาตัดสินเขาเหล่านั้นได้ มันจึงเป็นคำถามว่า ถ้าหากคนหนึ่งคนทำสิ่งนี้ทั้งหมดในชีวิตของเขา เราจะตัดสินเขาไม่ได้เลยหรือ แล้วอะไรเป็นตัวตัดสินล่ะ ธรรมชาติ กฎแห่งกรรม หรือว่าความคิดว่าเราดีแล้วก็คือจบแล้ว ทั้งหลายทั้งมวลเหล่านี้จึงไม่มีข้อสรุปที่ตายตัว แต่สิ่งหนึ่งที่จะมาเน้นย้ำว่าเราเป็นคนแบบใด นั่นก็คือสิ่งที่เราเป็นอยู่นั่นแหละคือคำตอบ ความหมายที่เราสร้างขึ้นมาผ่านความคิด คำพูด และการกระทำก็จึงเป็นมูลเหตุที่ให้เราหล่อหลอมมาเป็นคนอย่างที่เป็นในทุกวันนี้.
เราถูกตัดสินด้วยตัวของเราเอง
สังคมนั้นไม่ได้มีบทบาทสำคัญอะไรกับชีวิตเรา แต่เรามีอำนาจขับเคลื่อนสังคมว่าจะไปยังทิศไหนต่อไป เด็กรุ่นใหม่จะกลายมาเป็นสรรพกำลังอันสำคัญที่ขับเคลื่อนสังคมทุก ๆ แง่มุม ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ประเทศ โลก หรือจักรวาลนี้ก็ตามแต่ สิ่งนี้คือความเป็นจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เป็นอันขาด เราเป็นสิ่งมีชีวิตหนึ่งเท่านั้น และเรากำลังให้ความหมายกับตัวของเราเอง เราจงเริ่มต้นที่จะค้นหาความหมายให้เจอ ถ้าหากเราไม่เจอความหมายในชีวิตก็ขอให้เรารู้อยู่ วางตัวตามบริบทที่ควรจะเป็น ไม่ทำตัวระรานหรือคิดจะไปเบียดเบียนใคร เพียงเพื่อแค่เราต้องการให้ตัวเองมีความหมาย เพราะสิ่งที่ไม่ดีจะกำหนดความหมายที่ไม่ดีต่อไป แถมเรายังได้แต่คำด่าทอ รวมไปถึงคำนินทาเป็นของชำร่วยกลับบ้านอีกด้วย.
คุณเป็นคนที่กำหนดคุณค่าของตัวคุณเอง นี่คือประโยคบอกเล่าของมนุษย์คนหนึ่งของจักรวาลนี้ อีกพหุภพหนึ่งเราอาจจะมีอีกความหมายหนึ่ง แต่ ณ เวลานี้เรากำลังใช้ชีวิตแบบใด มีครอบครัวแบบไหน รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร รวมไปถึงสติปัญญาที่เราบ่มเพาะมา แล้วมีข้อมูลเพียงพอไหมที่จะตอบคำถามว่าเราเป็นใครกันแน่ เริ่มต้นให้คำนิยามกับชีวิตด้วยท่าทีของความน่าจะเป็น ลองฝึกปรือตนเองผ่านห้วงเวลาต่าง ๆ เช่น วัยเด็ก วัยรุ่น วัยกลางคน และวัยชรา ไม่ว่าวัยใดก็ตามเราย่อมมีบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ อย่านิ่งนอนใจคิดว่าถ้าเราปล่อยเวลาไปวัน ๆ แล้วเราจะค้นพบคุณค่าของชีวิต เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ แล้ววันหนึ่งเราจะค้นพบความหมายในชีวิตอย่างแน่นอน.