#34 ความมหัศจรรย์

ความมหัศจรรย์

จุดเริ่มต้นของความมหัศจรรย์ อยู่ที่ใดกันแน่ คำถามชวนคิดว่า อะไรในโลกคือสิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุด จริง ๆ แล้วแต่ละคนก็แต่ละความคิดกันไป ประสบการณ์จึงผิดแผกไปในแต่ละคน ซึ่งจริง ๆ แล้วคำถามนี้ไม่มีผิดหรือถูก เพียงแต่ความลึกซึ้งของสิ่งที่มหัศจรรย์นั้นจะถูกลดหลั่นกันไป บ้างก็บอกว่าความมหัศจรรย์คือธรรมชาติ บ้างก็บอกว่าความมหัศจรรย์คือการอยู่กับครอบครัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา แต่จริง ๆ แล้วคำตอบที่แท้จริงคืออะไรกันแน่ล่ะ.

การดื่มด่ำอยู่ในเหตุการณ์นั้น ๆ อย่างแท้จริง

เมื่อชีวิตกำลังรายล้อมไปด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เราทุกคนกลับลืมไปว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดหาใช่ความรวดเร็วไม่ แต่กลับกลายเป็นการทำให้เวลาช้าลงกว่าเดิม มันคือการอยู่ ณ โมเมนต์นั้น โดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปคิดถึงปัญหาในอนาคต รวมถึงอดีตที่ผ่านพ้นมา การอยู่ตรงที่ ๆ นั้นมันคือการที่เรากำลังพิจารณาธรรมชาติของสิ่งที่กำลังเกิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน ไม่ว่าเราจะทำอะไร เราควรจะอยู่ตรงนั้นจริง ๆ ไม่ใช่สักแต่ว่าไป หรือว่าสักแต่ว่าอยู่ การที่เราเพิกเฉยต่อปัจจุบันขณะ ก็เหมือนเราทิ้งขว้างความเป็นจริง ให้หลุดลอยไปจากมือเราโดยปริยาย แล้ววันหนึ่งเราจะพบว่า ชีวิตที่แท้จริงเรายังไม่เคยได้ใช้มันเลยสักที เรามัวแต่คิดมากและกังวลต่อสรรพสิ่งอยู่ตลอดเวลา.

หยุดอยู่ตรงนี้ ณ ตอนนี้ นี่คือความมหัศจรรย์ที่แท้จริงของชีวิต บางครั้งชีวิตมันก็กำลังสื่อสารอะไรกับเราเหมือนกันนะ ไม่ว่าจะเป็น เสียงรอบตัวเรา หากเราอยู่ในป่าเราจะได้ยินเสียงใบไม้ เสียงลมพัดที่โชยมา หากเราอยู่ในเมืองเราก็จะได้ยินเสียงรถยนต์ที่ขับผ่านเราไปเรื่อย ๆ แบบนี้ไม่มีวันหยุดพัก นี่ไงคือสิ่งที่มหัศจรรย์ ชีวิตกำลังมอบปัจจุบันขณะเพื่อให้เราได้อยู่กับมันยังไงล่ะ แล้วทำไมบางคนกลับเพิกเฉยไป ตอนไปเที่ยวก็คิดถึงแต่ที่ทำงาน ตอนไปทำงานก็คิดถึงแต่เรื่องเที่ยว สรุปว่าชีวิตกลับตาลปัตรกันไป ความสุขมันไม่ได้อยู่ไกลจากตัวเราหรอก เพียงแต่เรายังไม่เจอสิ่งที่ดีงามของชีวิตเสียมากกว่า ให้รู้จักหยุดที่จะคิดปรุงแต่ง แล้วโอบกอด ณ ตรงนี้อย่างแท้จริง.

เมื่อภาพยนตร์กำลังสอนเราอยู่

การเลือกซื้อตั๋วภาพยนตร์ ไม่ว่าจะดูในโรงภาพยนตร์หรือว่าจะดูในเน็ตฟลิกซ์ก็ตามแต่ เราเคยดูเรื่อง ๆ นั้นด้วยความรู้สึกที่ตั้งใจดูจริง ๆ ไหม หากเรายังไม่เคยตั้งใจดูอย่างจริงจังให้ลองสักครั้งหนึ่ง เพราะนั่นคือความมหัศจรรย์ของการเข้าไปเป็นผู้เล่นในภาพยนตร์ มันคล้ายกับว่าเราจะเข้าใจตัวละครในบทนั้น ๆ มันมีทั้งสุข เศร้า เหงา เซ็ง และอารมณ์อื่น ๆ อีกมากมาย มันไม่ใช่เพียงแค่ดูแล้วก็จับมือถือ แล้วก็เงยหน้าดูต่อ สุดท้ายแล้วมันจะไม่ได้สาระสำคัญจากสิ่งที่ตัวละครนั้นได้แสดงออกมาให้เรารับรู้เลย แล้วการเข้าไปนั่งในใจนักแสดงจะทำให้เราฝึกการเอาใจเขามาใส่ใจเรา เป็นคุณสัมบัติที่สำคัญยิ่งในยุคปัจจุบันนี้ รู้สึกอย่างที่ตัวละครรู้สึกนั่นแหละคือคำตอบของชีวิตแล้ว.

เมื่อภาพยนตร์บางเรื่องสามารถทำให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้นได้ ไม่เพียงแค่ให้ความบันเทิง หรือความสุนทรเท่านั้น แต่กลับให้มากกว่านั้นคือ ให้ความจริงและให้บทเรียนคำสอน เพื่อให้ผู้ชมนั้นได้กลับมาขบคิดหาทางออกของชีวิตต่อไปด้วย ซึ่งมันมีความหมายต่อชีวิตอย่างหาที่สุดมิได้ เปรียบเหมือนการที่เราตามหาคำตอบของชีวิต จริง ๆ แล้วมันอาจจะไม่ใช่ความสำเร็จ ความสุข หรือว่าชื่อเสียงใด ๆ เลย แต่มันคือการนั่งอยู่ในโรงภาพยนตร์แล้วเราก็ตั้งใจดูเรื่องนั้นอย่างแท้จริง ความคิดมากก็ค่อย ๆ จางหายไป ความดื่มด่ำก็เข้ามาแทนที่ แล้วนี่แหละคือความมหัศจรรย์ที่ทำให้ชีวิตนั้นรู้สึกว่ามีความหมาย บางครั้งภาพยนตร์ก็มีความหมายมากกว่าแค่ดูแก้เหงาแค่นั้น.

ความฝันที่เต็มเปี่ยมไปด้วยการช่วยเหลือผู้อื่น

เด็กคนหนึ่งเติบโตมาท่ามกลางครอบครัวที่มีปัญหา จริง ๆ แล้วก็ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้จะเป็นเด็กที่ธรรมดาสามัญ ไม่ได้มีความแปลกแยกหรือแตกต่างกับเด็กทั่ว ๆ ไป ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ความคิดที่ดีในการที่อยากจะช่วยเหลือผู้อื่นนั้น ไม่ใช่ของที่ทำกันได้โดยง่าย ทว่า ต้นเหตุเกิดจากความคิดที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมรอบข้างก่อน ครอบครัวจะมีปัญหาหรือไม่มีปัญหา อาจจะไม่ใช่ตัวตอบโจทย์ทั้งหมด เพียงแต่มันคือตัวจุดชนวนอันดีเยี่ยมที่มีความใฝ่ฝันว่า “ถ้าฉันโตไปฉันจะไม่ทำแบบที่ครอบครัวฉันทำอย่างเด็ดขาด” การตั้งใจมั่นต่ออะไรบางสิ่งนั้น เปรียบเหมือนการสร้างหมุดหมายอันสำคัญ ที่เราต้องการจะไปถึง เพราะทุกสิ่งนั้นล้วนสำเร็จได้ด้วยใจเป็นอย่างแรกเสมอ.

นิมิตหมายของชีวิตคน ๆ หนึ่ง จะมีความสำคัญเทียบเท่ากับความมหัศจรรย์ได้หรือไม่ หากวันนี้เราเป็นเด็ก แล้วเรามีความฝันว่าโตขึ้นอยากจะทำอาชีพนั้น อาชีพนี้ แต่แล้วชีวิตก็จับพลัดจับผลูไปเป็นอย่างอื่นจากสิ่งที่ตั้งใจไว้ในวัยเด็ก แต่กระนั้นเด็กคนนั้นกลับพบว่า อาชีพในฝันกับสิ่งที่ทำตอนนี้คือสิ่งเดียวกัน ความมหัศจรรย์ของชีวิตจะถูกค้นพบก็ต่อเมื่อเราไปถึงตรงหมุดหมายที่เราตั้งใจไว้แล้วเท่านั้น การเป็นคนที่มีจุดยืนแห่งความดี ยึดถือความดีเป็นสรณะ ยังไงแล้วชีวิตก็ย่อมพบเจอแต่ความสุขสมหวังเป็นธรรมดา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ต่อให้ยากดีมีจนยังไงก็แล้วแต่ ขอให้เราเป็นคนที่คิดดี พูดดี และทำดีอยู่เนือง ๆ นี่แหละคือนิมิตหมายที่สำคัญยิ่ง.

เราเริ่มต้นใหม่กันได้ทุกเมื่อเชื่อวัน

คำว่า ‘ไม่เป็นไรนะ’ เป็นคำที่มหัศจรรย์อย่างยิ่ง เมื่อเราใช้ในวันที่เราไม่เหลือใคร บางคนเพิ่งเลิกกับแฟนที่คบกันมานานหลายปี บางคนตัดความสัมพันธ์กับเพื่อนรัก เพียงเพราะว่าเพื่อนพูดจาหักหาญน้ำใจเรา สิ่งใดเกิดขึ้นสิ่งนั้นย่อมสวยงามเสมอ ให้บอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไรนะ อย่างน้อยวันนี้ก็ยังมีเรา เรายังมีกันและกันอยู่เสมอ บางทีมือสองข้างนี้ก็เกิดมาเพื่อให้เราจับมือตัวเองในวันที่เราไม่มีใครก็ได้เหมือนกันนะ ชีวิตคงจะบอกกับเราแบบนี้เหมือนกัน การเริ่มต้นใหม่ไม่ใช่คำที่สวยหรูดูดี แต่เป็นคำที่เราพร้อมจะเปิดโอกาสให้กับเราเองได้เรียนรู้ว่า ชีวิตก็แค่นี้เอง มันก็เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปแบบนี้อยู่เสมอนั่นแล ไม่ใช่ว่าโลกเกลียดเรา แต่เราต่างหากที่ไม่เข้าใจโลกใบนี้.

ธรรมชาติย่อมเป็นมิตรกับเรา เมื่อเราเริ่มต้นที่จะเป็นมิตรกับธรรมชาติ นี่คือกฎธรรมดาของโลกใบนี้ หากเรามักน้อยเราก็จะทุกข์น้อย หากเรามักมากเราก็จะทุกข์มาก ชีวิตให้ผลยุติธรรมกับเราเสมอมา หากแต่เรากลับก่นด่าโชคชะตากันทุกวี่ทุกวัน ไม่เว้นแม้กระทั่ง วันหยุดนักขัตฤกษ์ หรือวันใด ๆ ทั้งสิ้น เมื่อเรายอมรับว่ามันจบไปแล้ว สิ้นสุดไปจริง ๆ แล้ว เราก็ต้องหัดที่จะเริ่มต้นใหม่กับชีวิตเสียบ้าง ชีวิตสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ทุกวันเลยนะรู้ยัง ไม่จำเป็นต้องรอวันปีใหม่ วันเกิด หรือวันครบรอบแต่งงาน เราก็สามารถเริ่มต้นอะไรใหม่ ๆ ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น ปรับเปลี่ยนนิสัยที่ไม่ดีให้ดียิ่งขึ้น หรือฝึกวินัยการนอนหลับให้เป็นเวลา รวมถึงการกินอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างแท้จริง สิ่งเหล่านี้เริ่มได้ตลอดไม่ต้องดูฤกษ์ใด ๆ เลย.