#72 ความพากเพียร

ความพากเพียร

หากวันนี้เราไม่ได้ทำสิ่งใดให้มันดีขึ้นได้เลย ชีวิตก็จะทอดทิ้งเราไป เพียงเพราะเราทอดธุระในสิ่งที่ควรเป็นธุระ นับแต่นี้ไปเราจงตื่นรู้และตระหนักว่า ความพากเพียรจะเป็นหนทางออกเพียงแค่ทางเดียวเท่านั้น ในการที่จะทำให้ชีวิตนั้นพ้นจากทุกข์ทั้งปวง รวมไปถึงทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ด้วยการพากเพียรชอบ ส่วนนี้จะเป็นสิ่งที่จะเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของภาพรวมในชีวิต แล้วมันจะเป็นสรณะที่เราจะยึดเกาะยามเผชิญกับความยากนานาประการ.

พากเพียรให้ถูกทาง

ถ้าเราเพียรชอบมันก็จะไปทางที่ชอบ แต่ถ้าเราเพียรมิชอบมันก็จะไปทางมิชอบ ง่าย ๆ แบบนี้เลย สมมุติว่าเรามีฐานะยากจน แต่เราเพียรคิด เพียรพูด แต่ไม่เพียรกระทำ แบบนี้ฐานะของเราก็จะสามารถเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้ไหม มันจึงเป็นโจทย์และความท้าทายที่ยากอย่างยิ่งที่จะเพียรพยายามอย่างที่ให้มันเป็นไปในทิศทางที่ดี ก็เพราะการที่ชีวิตนี้ไม่มีใครมาชี้ทางให้เรา หรือแนะแนวในการดำเนินชีวิตว่า เราจะต้องทำแบบนี้ คิดอย่างนั้น หรือดำเนินตามวิถีทางอย่างสิ่งที่มันบ่ายหน้าไปยังทิศทางที่ดี มันจึงเป็นทั้งความยากลำบากอย่างยิ่งในการจะลองผิดลองถูกอย่างไร ให้ชีวิตนั้นดีขึ้นอย่างสิ่งที่เราปรารถนา แล้วมันจะเป็นไปได้จริงอย่างสิ่งที่ตั้งใจจริงไหม.

ทิศทางสำคัญกว่าความรวดเร็วเสมอ มันคือการย้ำเตือนว่าชีวิตไม่ต้องเร่งรีบ เราอาจจะเลือกสิ่ง ๆ หนึ่งได้ แต่เราก็ต้องมีทักษะในการถอย และถอดถอนจากสิ่ง ๆ หนึ่งอยู่เสมอ มิใช่เลือกแล้วเลือกเลย บ้างก็ไม่อยากเริ่มต้นใหม่บ้าง บ้างก็ไม่อยากเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง สิ่งเหล่านี้จะทำให้ความพากเพียรบ่ายหน้าไปในทางที่ผิดไปโดยปริยาย เมื่อเราทำโจทย์ในชีวิตให้ถูกต้อง ผลลัพธ์ที่มันควรจะเป็นก็ย่อมถูกต้องตามไป ให้เราใคร่ครวญที่เหตุ หมั่นสร้างเหตุ และหมั่นสอบทานเหตุ แล้วทิ้งผลลัพธ์เอาไว้ข้างหลังสุด เพื่อให้เราหมั่นพากเพียรชอบ เพราะถ้าหากว่าเรามัวแต่ใส่ใจผลลัพธ์เราก็จะเพิกเฉยในการทำเหตุที่ดีกันไป.

เพียรชอบคือชอบด้วยเหตุที่ดี

มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่ชีวิตจะจับพลัดจับผลูไปสู่จุดที่ดีโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย มันอาจจะพอเป็นไปได้ แต่มันเป็นไปได้ยากมาก ๆ จนถึงขั้นที่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะดีแบบยั่งยืน ถึงแม้ว่าชีวิตเราจะไปสู่สิ่งที่ดีได้ก็จริง แต่เราจะไม่สามารถดึงรั้งสิ่งใดไว้ได้เลย ชีวิตที่เราคิด พูด และกระทำ มันคือการสะสมพลังงานในชีวิต เราจะใช้พลังงานนี้แลกเปลี่ยนกับสถานการณ์ เหตุการณ์ รวมไปถึงเหตุปัจจัยที่เราได้สร้างมันมากับมือของเราเอง เสมือนว่าชีวิตจะเป็นไปตามทรัพยากรที่เราพึงมี มิใช่เป็นการที่เรามีความอยาก หรือคิดเอาเองว่ามีนั่นเอง คำตอบของชีวิตที่จะดีขึ้นได้จริงก็คือการกระทำที่ประกอบไปด้วยเหตุที่ดี ซึ่งเราก็จำเป็นจะต้องศึกษาหาความรู้ว่า เหตุที่ดีประกอบไปด้วยสิ่งใดบ้าง.

คนส่วนใหญ่แล้วชอบคิดเอาเองว่า ถ้าแค่คิด แค่พูด ก็คงจะมีชีวิตที่ดีขึ้นได้แล้ว แต่มันอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นทั้งหมด ก็ในเมื่อชีวิตนั้นให้น้ำหนักกับการกระทำที่ซ้ำไปซ้ำมา ความเพียรคือการทำซ้ำในเรื่อง ๆ หนึ่ง บ่อยครั้งมากพอจนเกิดพลังงานมหาศาลในการขับเคลื่อนชีวิตไปยิ่งทิศทางนั้น ๆ คิดง่าย ๆ ว่าถ้าเรามีการกระทำที่ผิดทาง ถึงจุดหนึ่งที่เราเจอจุดเปลี่ยนของชีวิต มันก็จะนำพาให้ชีวิตเราไปยังทางที่ผิดนั่นเอง โดยหลักการของธรรมชาติแล้วทุกสิ่งที่ไม่มีการเคลื่อนที่ไปยังจุดที่สูงได้ ก็ย่อมตกลงมาอย่างสิ่งที่ควรจะเป็น เพราะแรงโน้มถ่วงทำให้เราต้องพยายามมากขึ้นกว่าเดิม และมันก็ต้องสร้างสิ่งที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่นั่นเอง.

เชื่อในสิ่งที่ทำลงไป

ถ้าเรากระทำสิ่ง ๆ หนึ่งต่อเนื่องอย่างยาวนานหลายทศวรรษได้นั้น เราก็จำเป็นจะต้องเชื่อในสิ่งที่เราทำอย่างใจจริง ความจริงใจเป็นส่วนประกอบอันสำคัญยิ่งในยุคสมัย มันคือตัวแปรหลักที่ทำให้กระบวนการสร้าง ถูกสร้างอย่างงดงาม โดยที่เราจำเป็นจะต้องเชื่อว่า การกระทำที่เราได้ทำลงไปนั้น ประกอบไปด้วยความคิดชอบ ความเพียรชอบ และสิ่งที่ถูกต้องอื่น ๆ เป็นส่วนย่อยอีกด้วย ให้ลองเชื่อในสิ่งที่ทำลงไปดู แล้วเราจะสามารถทำสิ่ง ๆ หนึ่งได้นานมากกว่าที่เราเคยคาดคิดเอาไว้ ปัญหาอาจจะไม่ได้อยู่ที่เราต้องทำสิ่ง ๆ นั้นไป แต่เราจะต้องไม่อ่อนไหวต่อสิ่งที่เข้ามากระทบกับความเชื่อของเราด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน แฟน หรือคนในครอบครัวที่อาจจะไม่เชื่อในสิ่งที่เราเลือกเดินไป.

ระหว่างทางเราจะต้องเจออุปสรรคขวากหนามอันมากมาย เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านี้ไปได้เลย โลกใบนี้คือสังเวียนที่เราจะต้องทำบางสิ่ง โดยที่ทุกอย่างจะมาถาโถมที่ความเชื่อและความศรัทธาเบื้องลึกของเรา มันคือการทดสอบอันยิ่งใหญ่ของบุคคลที่ยิ่งใหญ่ อย่าไปคิดว่าทำไมเราถึงต้องเจอปัญหาใหญ่อันโตขนาดนั้น แต่จงคิดว่าถ้าเราไม่เจอปัญหาที่ใหญ่มากพอ แล้วมิหนำซ้ำเรายังเพิกเฉยต่อปัญหาเหล่านั้นต่อไป เราจะเป็นผู้ที่มีความสามารถได้อย่างไร ผู้คนแตกต่างกันที่การกระทำเป็นหลัก ไม่ใช่การพูดหรือแค่ความคิดเพียงเท่านั้น แล้วเราค่อยจำแนกปัจเจกชนออกจากหมู่ชน เพื่อให้ได้เห็นว่าเราแตกต่างกันที่อะไรกันแน่.

ทางออกเดียวคือความเพียร

ผู้คนในสังคมนั้นมีความแตกต่างหลากหลายอย่างยิ่ง เราไม่ได้แตกต่างกันที่สีผิว เชื้อชาติ สัญชาติ หรือว่าสิ่งใดเลย แต่เราแตกต่างกันที่ความเพียรพยายาม ความมุ่งมาดปรารถนา และความตั้งใจมั่นต่อสิ่ง ๆ หนึ่งอย่างแรงกล้า คนที่ไม่เชื่อในอะไรเลย มิหนำซ้ำยังดูแคลนความเชื่อที่บริสุทธิ์และความดี เขาเหล่านั้นก็จะไม่ได้อะไรกลับไปจากการใช้ชีวิตได้เลย โลกนี้จะกดดันทุกอย่าง ความเครียดจะมาเป็นตัวบ่อนทำลายให้ความรู้สึกนั้นบอบช้ำมากขึ้นไปกว่าเดิม แถมผู้คนที่จะเข้ามาช่วยเหลือก็ไม่สามารถช่วยได้จริง เพราะเรามีกำแพง และมีความศรัทธาที่ผิดในการมองว่าโลกใบนี้ไม่เคยเห็นคุณค่าของตัวเรา ทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยคิดจะเข้าใจธรรมชาติรอบตัวบ้างเลย.

สิ่งหนึ่งที่เราจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผู้คนได้เลยก็คือ ให้เขาเปลี่ยนจากคนที่ไร้ความรับผิดชอบ มาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ เราไม่สามารถเปลี่ยนให้คนไร้ซึ่งความเพียร ให้มาเป็นคนที่มีความเพียรชอบได้ เราทำได้แค่เพียงปล่อยวางต่อผู้คนเหล่านั้น เสมือนว่าวันนี้นักเรียนยังไม่พร้อมที่จะเรียนรู้ คุณครูก็หมดหน้าที่กันไป หากว่าเราเป็นนักเรียนจงพร้อมในการเรียนรู้จากทุกสรรพสิ่ง แต่ถ้าเราเป็นคุณครูจงพร้อมที่จะพร่ำสอนผู้คนที่แวะเวียนเข้ามายังชีวิตของเรา ก็ในเมื่อไม่มีบุคคลใดที่ไม่เคยเรียนรู้ เราต่างเป็นนักเรียนรู้ธรรมชาติ และผู้ใฝ่รู้โลกใบนี้ว่าเป็นอย่างไร จงเพียรพยายามเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา รู้ทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ การดับทุกข์ และหนทางของการหมดทุกข์ทั้งปวงนั้นมีอะไรบ้าง.