จุดเริ่มต้นของชีวิตคือการผูกมัด ส่วนการเดินทางไกลย่อมจำเป็นจะต้องใช้พันธะเพื่อยึดเกาะสิ่งต่าง ๆ เข้าด้วยกัน แต่กระนั้นเมื่อเราถึงที่หมายเราจำเป็นจะต้องปล่อยวางพันธนาการทั้งหมดทั้งสิ้น แล้วพร้อมที่จะน้อมรับโอกาส และประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่เราไม่เคยคาดฝันว่ามันจะพาเราไปในทิศทางใด นั่นแหละจึงเรียกว่าความปล่อยวาง หากเรายังไม่สามารถเรียนรู้ได้ ชีวิตเราจะเต็มไปด้วยภาระอันหนักอึ้ง ที่เรานั้นเลือกที่จะแบกมันเองอยู่ทุกเวลา.
ความปล่อยวางคือหนทางสู่ความเบาสบาย
ให้เราลองสังเกตตัวเองกันตอนนี้เลยว่า เรามีภาระที่เราแบกเอาไว้ไหม ไม่ว่าเราเลือกที่จะแบกเอง หรือว่ามันเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องแบก หากเราลองแบ่งแยกออกเป็นสองส่วน คือส่วนที่ต้องจัดการภาระนี้ กับส่วนที่ไม่ต้องจัดการภาระนี้ก็ได้ ถ้าเราเรียนรู้จากทั้งสองสิ่งนี้ เราจะพบว่าชีวิตเราสามารถที่จะเลือกได้ตลอดเวลา ถึงแม้ว่ามันจะไม่สามารถเลือกได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยที่สุดเราก็จะเข้าใจได้ว่า วันนี้เรารับภาระเพียงแค่สิ่งที่ต้องรับผิดชอบเท่านั้น เราไม่เอาภาระอื่น ๆ ที่เรามักจะคาดหวังว่ามันจะช่วยให้เรามีความสุขมากขึ้นมาเติมให้มันเต็มอยู่ตลอด เพราะไม่ว่าเราจะขยับเขยื้อนไปในทิศทางใด เราก็จำเป็นจะต้องตระหนักรู้ว่า มนุษย์มักจะหาภาระเข้าตัวมากกว่าที่จะจัดการภาระออกไปเสมอ.
โอกาสที่ดีที่สุดในชีวิต คือโอกาสของการเลือก แน่นอนว่าเราอาจจะเลือกพ่อแม่ไม่ได้ แต่อย่างน้อยเราเลือกเพื่อน แฟน และอนาคตของเราเองได้ นี่คือเจตจำนงอิสระที่เรามักจะหลงลืมไปว่า เราก็มีสิ่งที่สามารถทำได้ทุกเวลา ส่วนการปล่อยวางก็เป็นเจตจำนงอิสระเฉกเช่นเดียวกับการตัดสินใจอื่น ๆ เช่นกัน วันนี้เป็นวันที่เราทุกคนที่ยังเป็นเด็ก วัยรุ่น หรือวัยกลางคนที่มีภาระไม่มากนัก เราสามารถเลือกได้ว่า เราจะนำสิ่งใดเข้ามาในชีวิต จงใช้เวลาว่าง ๆ ตอนอยู่คนเดียว ครุ่นคิดในเรื่องอนาคต เพราะเมื่อเรานำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเข้ามาในชีวิตแล้ว ความรับผิดชอบมันก็จะต้องปรากฏ หากไม่มีความรับผิดชอบต่อเรื่องนั้น ๆ เราจะกลายเป็นคนที่ใช้ไม่ได้โดยทันที.
ก่อนจะปล่อยวางจงสอบทานสิ่งที่มีอยู่ก่อน
มีผู้คนหลากหลายมากที่ไม่เข้าใจแก่นแท้ของคำว่าปล่อยวาง ทว่า เขาเหล่านั้นมักจะมองว่าการปล่อยวางไม่ใช่เรื่องยาก มีสิ่งใดก็ปล่อยวางสิ่งนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วการปล่อยวางมันอยู่ในสิ่งที่ก่อนเราจะเข้าไปยึดเกาะเสียมากกว่า หากเรากำลังหลงรักคน ๆ หนึ่ง เราจะปล่อยวางได้อย่างไรกัน ซึ่งแน่นอนว่าเราจะไม่สามารถปล่อยวางได้ ไม่ว่าเขาจะทำอะไร เราก็จะรู้สึกตามไปกับการกระทำของเขาอยู่ตลอด ซึ่งปัญหาอยู่ตรงที่เราควรจะเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้ ก่อนที่เราจะเข้าไปยึดเกาะเสมอ เราต้องมีสติระลึกรู้ให้ชัดเจนเลยว่า ถ้าหากเราหลงรักใครไปแล้ว การปล่อยวางจะทำได้ยาก เราจึงต้องฝึกการปล่อยวางตั้งแต่เนิ่น ๆ อย่าปล่อยใจให้ถลำไปลึกเกินกว่าที่จะต้านทานไว้ได้.
วิธีการฝึกความปล่อยวาง จะต้องเริ่มต้นจากการตระหนักรู้ก่อนเลยว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่คงทนและถาวร สิ่งหนึ่งที่เข้ามาได้ ก็ย่อมจากไปได้เช่นกัน เหมือนเริ่มต้นได้ ก็ย่อมต้องมีจุดจบ มันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่เริ่มก็ไม่ต้องจบ นี่ก็เรื่องธรรมดาเช่นกัน ชีวิตไม่ได้มีอะไรซับซ้อน มีแต่จิตใจเราที่มักจะเพิกเฉยความจริงไป มัวแต่หลงระเริงอยู่ในความสุข ไล่ล่าหาสิ่งที่มันไม่แน่นอน แล้วก็มายึดเกาะว่าสิ่งนั้นว่าเป็นของเรา หรือเป็นตัวเราเอง เพราะถ้าหากเราไม่สอบทานสิ่งที่มีอยู่ ณ ตอนนี้ มันก็จะส่งผลทำให้เราหลงลืมแก่นที่สำคัญไป ก็คือการเข้าใจว่าทุกอย่างไม่แน่นอน การจะไปยึดเกาะมันก็จะเป็นของชั่วคราวกันไป ความคิดที่ว่าทุกสิ่งอยู่คงเดิมตลอด ก็จะรังแต่ให้เราเป็นบ้าก็เท่านั้นเอง.
คนบ้าคือคนที่ไม่ยอมปล่อยวาง
คำว่าบ้า ไม่ได้มาจากคนบ้าโดยส่วนเดียว แต่ก็มักจะมาจากจุดเริ่มต้นที่เล็กที่สุด ก็คือความปล่อยวาง หากคนใดที่ไม่สามารถปล่อยวางอดีต ปล่อยวางอนาคต และปล่อยวางจากสิ่งทั้งปวงได้ เขาเหล่านั้นก็จะบ้ากันไปในแต่ละเรื่อง บ้างก็บ้างาน บ้างก็บ้าความรัก บ้างก็บ้าเงินทอง หรือบ้างก็บ้าสิ่งที่เพ้อเจ้อไปวัน ๆ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ กำลังชี้ชัดไปในจุดเดียวกัน ก็คือคาดหวังสิ่งต่าง ๆ อย่างยึดมั่นถือมั่นจนเกินพอดี หากเราปรารถนาสิ่งใด จงสร้างสิ่งนั้น เหมือนกับการที่เราต้องการผลส้ม เราก็จำเป็นจะต้องปลูกต้นส้ม ฉันใดก็ฉันนั้น ความบ้ามันเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เราไม่ยอมปล่อยวาง หากเรากระทำสิ่งใดลงไปแล้วเรายังไม่ได้รับผลนั้น ๆ เราก็จึงผิดหวัง และก็มองกลับด้านจากความเป็นจริงไป.
ชีวิตอยู่ที่การน้อมใจเข้าไปยอมรับความจริง หากเราปฏิเสธความจริงบ้าง หรือกลัวความจริงกันไปบ้าง นั่นแหละจะเป็นที่มาของความเป็นบ้า แล้วก็ยิ่งสะสมปัญหาให้มากขึ้นไปเรื่อย ๆ หลังจากนั้นเราก็จะเป็นคนหลงโลก ติดอยู่ในโลก แล้วโลกก็จะบีบคั้นให้เราทำสิ่งที่เราไม่อยากที่จะทำ แต่ก็หารู้ไม่ว่าการปฏิเสธสิ่งที่โลกเป็น ก็เหมือนเราเอาชีวิตเราไปแข่งกับสัจธรรม ซึ่งคงไม่มีใครเก่งเกินความเป็นจริงไปได้ เราเป็นเพียงแค่คนอยู่อาศัย ทำไมเราถึงจะต้องดึงดันในสิ่งที่ไม่ควร หรือเพราะความหลง และความเขลาที่ตัวเองมี มันจึงทำให้ทุกสิ่งที่เราคิด กลายมาเป็นตัวตนที่ยากจะขัดเกลาได้ แล้วการปล่อยวางจะเริ่มต้นขึ้น หากเราต้องการที่จะมีความสุขอย่างแท้จริง.
ปล่อยวางที่จิตใจเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จ
บางคนก็มักจะมองกันไปว่า ชีวิตที่ปล่อยวางจะไปหาความสำเร็จกันได้อย่างไรกัน ชีวิตนั้นประกอบไปด้วยความยึดมั่นเต็มไปหมด เราก็เลยเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่า ความปล่อยวางจะทำให้ทุกอย่างดูจืดชืด ชีวิตไม่มีสีสันให้น่าค้นหา กระนั้น พอเราใช้ชีวิตต่อไปเรื่อย ๆ เราจะพบว่าคนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ มีความปล่อยวางอย่างเห็นได้ชัด เขาปล่อยวางจากความโลภ และเขาก็ปล่อยวางจากการคิดว่าความสำเร็จคือจุดหมายปลายทาง แต่กลับมองว่าสิ่งที่ผู้คนจะประสบความสำเร็จได้มีเพียงอย่างเดียว ก็คือความปล่อยวางต่อความสำเร็จ และมุ่งมั่นที่จะก้าวเดินต่อไป ท่ามกลางพายุ และเมฆหมอกที่บดบังทัศนียภาพ ตราบใดที่เรายังก้าวเดิน ตราบนั้นชีวิตก็ยังคงก้าวหน้าต่อไป.
ความยึดมั่นกับความปล่อยวางคือสิ่งที่แตกต่างกัน เราเดินด้วยความปล่อยวาง กับเราเดินด้วยความยึดมั่น ความสุขระหว่างทางจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง บางคนบอกว่ายิ่งโตมายิ่งทุกข์ เพราะเรามีภาระความรับผิดชอบมากมายเต็มไปหมด แต่หากว่าเรามองอีกมุมหนึ่ง ทุกคนบนโลกนี้จำเป็นจะต้องโตมาแล้วเป็นทุกข์ด้วยกันทุกคนเลยเหรอ คำว่าทุกคนเป็นคำที่อันตรายมาก ๆ เพราะเรากำลังเหมารวมคนทุกคนบนโลกใบนี้ คนส่วนมากอาจจะทุกข์ เพราะเขาไม่รู้วิธีจัดการความทุกข์ และเขาไม่รู้วิธีปล่อยวางที่จิตใจ เมื่อนั้นเขาก็จึงไม่พบทางออกของชีวิต แล้วเขาจะไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่า เราทุกคนสามารถใช้ชีวิตอยู่บนโลกที่เต็มไปด้วยปัญหาอย่างมีความสุขได้ ถ้าเราปล่อยวางที่ภายในก่อนเป็นอันดับแรก.