#68 ความต่อต้าน

ความต่อต้าน

ความต่อต้านต่อสิ่งต่าง ๆ เป็นสิ่งที่เป็นปกติสามัญอยู่แล้ว เราทำได้แค่เพียงรับรู้ว่า ถ้าเราต่อต้านต่อสิ่งที่ไม่ดี ผลลัพธ์ย่อมบ่ายหน้าไปยังทิศที่ดีได้ แต่ถ้าเราต่อต้านต่อสิ่งที่ดี ผลลัพธ์ย่อมส่งผลเสียมากกว่า เหมือนการเลือกฝั่งของชีวิต เราจะเลือกฝั่งไหนขาวหรือดำ ดีหรือแย่ รวมไปถึงองค์รวมของการเลือกนั้นก็ย่อมมีส่วนร่วมกับสิ่ง ๆ นั้นด้วยเสมอ เราจึงต้องครุ่นคิด ขบคิด และหาทางออกให้เจอ แล้วตัดสินใจอย่างมีดุลยพินิจต่อการต่อต้านนั้น.

ไม่เอาสิ่งนั้นก็ย่อมได้อีกสิ่งหนึ่ง

การไม่เลือกสิ่งใดเลยไม่มีอยู่จริง เมื่อเราไม่เอาสิ่งหนึ่ง อีกสิ่งหนึ่งก็ย่อมได้คืนกลับมาอยู่ดี ถ้าแปลแบบกำปั้นทุบดินก็คือ เรามักจะได้ในสิ่งที่เราไม่ได้เลือก เพราะเราไม่ยอมเลือกอะไรเลย เมื่อถึงจุดหนึ่งของชีวิตเราจำเป็นจะต้องตัดสินใจ ลองสังเกตตัวเองว่า เรามีการตัดสินใจอย่างไรบ้างเมื่อเผชิญกับสถานการณ์เฉพาะหน้า เรามีความคิดอย่างไรต่อเหตุการณ์นั้น และบางสิ่งที่เราตัดสินใจได้ สิ่งนั้นก็ย่อมเป็นทางหลักในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำงาน รวมไปถึงความสัมพันธ์ที่ได้เลือกสรรกันมา ไม่ต้องทำตามความรู้สึกทั้งหมด แต่ก็ไม่ต้องต่อต้านมันทั้งหมดเช่นกัน ลองเรียนรู้กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้มากที่สุด แล้วทุกอย่างจะลงตัวไปเอง.

กระบวนการสร้างไม่ได้สร้างมาเพื่อให้เราขบคิดทั้งวันทั้งคืน แต่มันเป็นการสร้างให้เราได้เลือก เพราะถึงแม้ว่าเราจะต่อต้านทุกสรรพสิ่งบนโลก เราก็จะไม่ได้อะไรจากโลกใบนี้อยู่ดี การปรับตัว เปลี่ยนแปลง เข้าใจสภาวะต่าง ๆ ย่อมเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตของผู้คนดีขึ้น แต่มันก็ไม่ใช่จากสิ่งที่เราพบเจออยู่ดี มันคือการสร้างทางเดินใหม่ ๆ ขึ้นมา อะไรที่เข้ามามันมาเพื่อเพียงผ่าน อาจจะมาสอนเรา แนะนำเรา หรือทำร้ายเราก็ได้ แต่อย่างน้อยเราต้องเปิดใจรับอะไรใหม่ ๆ บ้าง เช่น วันนี้เราอยากกินอาหารนี้ แต่เรารู้อยู่แก่ใจว่าถ้ากินอาหารประเภทนี้ โรคภัยบางอย่างที่มีอยู่ในตัวเองอาจจะกำเริบขึ้นมาได้ เราจึงจำเป็นจะต้องหลีกเลี่ยงและยอมกินอาหารประเภทอื่นแทน.

การอ่อนน้อมคือทางออก

บางคนอาจจะตีความคำว่าอ่อนน้อมคือการอ่อนปวกเปียก หรือการเป็นคนไม่มีหลักเป็นของตัวเอง แต่ความเป็นจริงการอ่อนน้อมเป็นส่วนสำคัญมากต่อการใช้ชีวิต เพราะมันเป็นทั้งจุดเริ่มต้น และจุดจบของเรื่องราว ถ้าไม่มีการเปิดใจรับ เราจะรับรู้บางสิ่งได้อย่างไรกัน แล้วถ้าหากเรายังต่อต้านกับทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามายังชีวิตของเรา แล้วเราจะมีประสบการณ์ได้อย่างไรกัน แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนต้นกล้าในชีวิต มันจะขาดสิ่งที่เรียกว่าการบ่มเพาะไปไม่ได้ ไม่งั้นมันจะไม่เติบโตอย่างสิ่งที่ควรจะเป็น บางครั้งชีวิตก็มักจะเข้ามาสอนเราในวันที่เราไม่พร้อมเรียนรู้ และเราจะตระหนักรู้ รวมไปถึงตกผลึกในช่วงจังหวะคับขันเสมอมา.

แล้วมันไม่สามารถกำหนดกะเกณฑ์เวลาให้แน่ชัดได้เลยว่า วันนี้เราพร้อมเรียนรู้ หรือว่าวันนี้เราไม่พร้อมที่จะเรียนรู้ ธรรมชาติจะมาบ่งชี้ และเลือกสรรให้เราเองว่า วันใดเราเหมาะสมที่สุดในการเรียนรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ จงเลือกที่จะต่อต้านสิ่งที่ไม่ดี เช่น อบายมุข พื้นที่อโคจร รวมไปถึงคนพาลที่ไม่ได้นำแก่นสารที่ดีมายังชีวิตของคนรอบข้าง นั่นจึงเป็นสิ่งที่ควรต่อต้านอย่างยิ่ง แล้วการที่เรารู้ชัดว่าสิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี ก็เป็นการคัดสรรต่ออีกขั้นหนึ่งตามไป การทำงานของชีวิตเป็นสิ่งที่ต้องขบคิดกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่ว่าจะเป็นคน ๆ นี้เขาเป็นคนอย่างไร เจ้านายเราเขาคิดอย่างไรกับเรา รวมไปถึงสิ่งที่เราพบเจอนี้ควรจะไปต่อหรือพอแค่นี้.

ต่อต้านสิ่งที่ควรต่อต้าน

มันเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้ในการพบเจอสิ่งที่ไม่ดีและไม่ใช่ แต่เราสามารถใช้สติปัญญาที่เราบ่มเพาะมา เลือกสรรอย่างถี่ถ้วนได้ว่า การพบเจอครั้งนี้ควรค่าแก่การต่อต้านมันหรือไม่ อย่างไร หากมันสมควรกับการต่อต้านแล้วไซร้ ก็จงต่อต้านสิ่งนั้นอย่างเต็มกำลัง ก็ในเมื่อการต่อต้านเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ได้ หากเราใช้อย่างถูกวิธีมันก็จะส่งผลลัพธ์ที่ดีมากอย่างที่เราไม่เคยคาดคิดไว้ก่อนว่าจะดีขนาดนี้ ขณะใดของชีวิตที่บ่งชี้ให้เราต่อต้านมัน จงใช้ข้อมูลที่มีเกี่ยวโยงกับการตัดสินใจไปด้วย ให้ความสุขนั้นเป็นผลพลอยได้ของการตัดสินใจ แต่อย่าให้อำนาจมืดครอบงำจิตใจนานจนเกินไป ไม่เช่นนั้นการต่อต้านนี้ก็คงสัมฤทธิ์ผลได้ยากอย่างยิ่ง.

อารมณ์ที่น่าพอใจบางอารมณ์ และการยั่วยุของบางสิ่ง ย่อมส่งผลเสียต่อชีวิตมากมาย ให้เริ่มต้นสังเกตการเลือกทางเดินของชีวิตว่า มีบ้างไหมในการที่เราจะรู้สึกต่อต้านกับเรื่องบางเรื่อง หรือต่อเหตุการณ์บางเหตุการณ์ เช่น เพื่อนเริ่มชักจูงไปในทางที่ไม่ค่อยดี เราจะเริ่มรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันตาเห็น หรือว่าแฟนของเรากำลังตัดสินใจเลือกทำงานธุรกิจสีเทา แบบไม่ค่อยขาวสะอาดอย่างสิ่งที่เราเชื่อมั่นว่า นี่คือทางเดินที่ดี ทั้งสองทางนี้ถ้าเรามีความคิดที่ต่อต้านก็เป็นนิมิตหมายที่ดีว่าเราก็มีโอกาสเดินทางไปยังทางแห่งความดีได้ง่ายดายขึ้น ไม่มีอุปสรรคอะไรมาก แต่ถ้าเราไม่มั่นใจกับการต่อต้าน เราก็จงฝึกปรือตนเองในการต่อต้านสิ่งที่ไม่ดีอยู่เสมอ.

อัตตาเป็นการต่อต้านที่ไม่ควร

ความไม่สมอารมณ์หมาย เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต แต่กระนั้นถ้าเรายังคงเชื่อว่าการต่อต้านความดี หรือทางที่ดีเป็นอะไรที่ดูขัดแย้งกับอัตตา ก็ขอให้ระลึกไว้ว่าเราอาจจะมีโอกาสไปทางที่ไม่ดีหลังจากนี้ไป แล้วนี่คือสิ่งที่จะเป็นตัวชี้วัดที่ดีที่สุดว่า เราชอบพอสิ่งใด หรือเราไม่ชอบพอสิ่งใด บางคนมีอัตตาสูง คือจะมาขัดขวางความคิดของตนไปไม่ได้ ถือว่าผิดต่อใจ แล้วทำให้ใจเป็นทุกข์ พอหลังจากนั้นก็จะเริ่มตีโพยตีพายว่า ไม่มีอะไรได้ดังใจเลยในชีวิต ใคร ๆ ก็ไม่เข้าใจเราเลยสักคนเดียว แถมยังคิดไปอีกว่า ทางที่เลือกนี้ไม่จำเป็นจะต้องเหมือนใคร เพราะถึงแม้จะเดินทางไหน ก็ย่อมได้ผลลัพธ์ที่ดีได้เหมือนกัน ถ้าเราคิดว่าให้มันเป็นไป สิ่งเหล่านี้ย่อมไม่ก่อเกิดประโยชน์ในบั้นปลาย เพราะมันคืออัตตานั่นเอง.

วิถีทางของชีวิตจะกำหนดความเป็นไปของตัวตนเราอยู่แล้ว การต่อต้านแบบไร้เหตุไร้ผล จะไม่ช่วยให้ชีวิตดีขึ้น บางคำแนะนำควรเปิดใจรับฟัง และควรค่าแก่การนำไปปรับใช้กับชีวิตสืบไป แต่ก็แน่นอนว่ามีการแนะนำ หรือว่าคำสอนบางอย่างที่ควรต่อต้าน ซึ่งในระดับนี้จำเป็นจะต้องใช้โยนิโสมนสิการ เพื่อแยกย่อยความหมายต่อไปอีกชั้นหนึ่งว่า มันมีผลอย่างไรต่อเราว่า ถ้าเราทำหรือไม่ทำสิ่งที่เราได้เรียนรู้มา ลองฝึกฝนในการลองเชื่อสิ่งใดบ้าง และลองไม่เชื่อบ้าง แบบสุ่มก่อนก็ได้ พอหลังจากที่เราเริ่มรับรู้แล้วว่า บางคำสอนช่วยชีวิตให้ดีขึ้นได้จริง ก็ให้นำการอ่อนน้อมเป็นตัวหลัก ส่วนบางคำสอนที่ไม่ช่วยให้ชีวิตดีขึ้นจริง ก็ให้ความต่อต้านนี้เป็นตัวหลัก สลับกันไปแบบนี้ตามสถานการณ์ในแต่ละบริบทนั้นด้วย.