#18 ความฉับไว

ความฉับไว

พูดถึงความฉับไวแล้ว การมองว่าช้าหรือไว มันช่างดูแตกต่างกันซะเหลือเกิน แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันก็มีบางสิ่งที่เราควรไว และบางสิ่งที่เราควรช้า ไม่ใช่ว่าทุกอย่างต้องไว หรือว่าทุกอย่างต้องช้าเสมอไป และอีกสิ่งนึง คือมันบ่งบอกถึงความฉลาด ที่เราสามารถใช้ความคิดแค่บางส่วน ส่วนที่เล็กน้อยที่สุด เพื่อที่จะนำมาหาคำตอบว่า สิ่งนี้ดี หรือไม่ดีอย่างไร นี่แหละประโยชน์ของความฉับไวของสติปัญญา.

ทักษะที่จำเป็นในยุคนี้

ในความคิดที่เรียงรายมหาศาลในโลกใบนี้ ย่อมมีมากเกินกว่าจะระบุได้ว่า อะไรคือสิ่งที่สลักสำคัญที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าเรามอง และสังเกตดี ๆ เริ่มจากการจัดหมวดหมู่ไปก่อน แยกย่อยทีหลัง ก็จะพบว่าสิ่งที่สลักสำคัญที่จะนำมาต่อยอดชีวิตได้ มีไม่มากนัก เผลอ ๆ อาจจะมีแค่ทิศทางเดียวเสียด้วยซ้ำ การจัดหมวดหมู่ จะแยกออกเป็น 2 อย่าง คือดี และไม่ดี เมื่อเรารู้หนทางที่เดินแล้ว จงเลือกทางเดินที่ดี และตัดทางที่ไม่ดีไป.

เราย่อมรู้โดยใช้การคิดอย่างละเอียดแล้วว่า ทางที่ดี มันไม่ได้ดีตอนต้น แต่มันดีในบั้นปลาย และทางที่ไม่ดีนั้น มันดีตอนต้น แต่มันไม่ดีในบั้นปลาย สลับกันอย่างนี้เสมอ เมื่อเราเลือกทางแล้วหลังจากนั้นแยกออกมา ให้เห็นว่าทางที่ดีมีอะไรในแสวงหาได้บ้าง เช่น การคิดดี พูดดี และทำดี นี่คือสิ่งที่จะเป็นทักษะในยุคปัจจุบันนี้อย่างแท้จริง ไม่ใช่ทักษะที่ล้าสมัย และยังคงจำเป็นต่อมวลมนุษย์อย่างมาก หลายคนที่หลงคิดไปว่า จะต้องเป็นทักษะใหม่ ๆ แต่ให้ลองคิดกลับกันว่า ถึงแม้คำจะเปลี่ยนไป แต่ความหมายโดยนัยยังคงเดิม ไม่ได้เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเหมือนความคิดเราหรอก ถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนไปก็เปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้นไม่สามารถหักล้าง แก่นของความหมายได้.

ไม่ตามหาสิ่งที่เราไม่รู้จัก

ความฉลาดจะทำให้รู้ว่า อะไรถูก อะไรผิด การมีปัญญาจะทำให้รู้ว่า ในตัวเราเองไม่ดีอะไรบ้าง และสามารถแก้ไขได้ไหม คนฉลาดจึงไม่รู้หนทางปรับเปลี่ยนตัวเองไปในทิศทางที่ดีขึ้น เก่งแต่การจัดการสิ่งภายนอกเท่านั้น กลับกันกับคนมีปัญญาจะเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงภายในก่อน แล้วหลังจากนั้นภายนอกจะเปลี่ยนไปเองโดยปริยาย ความแตกต่างอันยิ่งใหญ่นี้ ย่อมนำความยิ่งใหญ่มาในชีวิต และจะเปลี่ยนวิถีชีวิตไปอย่างสิ้นเชิง.

สิ่งหนึ่งที่สำคัญอีกอย่างคือคนฉลาดจะตามหาสิ่งที่เราไม่รู้จัก แต่คนมีปัญญารู้จักสิ่งนั้นก่อนจึงตามหา มันต่างกันเยอะอยู่พอสมควร แล้วก็เพียงพอต่อการที่จะเจอสิ่งนั้นได้หรือไม่ ก็เพราะลองคิดตามหลักเหตุผล ถ้าไม่รู้จักความดี จะไปตามหาความดีจากไหนล่ะ ค้นหาแค่ไหนก็ไม่เจอ เพราะถึงเจอก็ไม่รู้อยู่ดีว่านี่คือความดี กลับไปหลงคิดว่า ความดีจะต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้สิ จะต้องอยู่ในสถานที่นี้ จะต้องอยู่แหล่งนี้ หรืออะไรก็ตามแต่ นี่เป็นความคิดที่หลงผิดอย่างมาก และไม่มีวันที่จะพบเจอความดีอย่างเด็ดขาด ส่วนถ้ารู้จักความดี ก็จะเป็นประโยชน์ในการหาแล้ว ย่อมรู้ว่าความดีไม่ได้อยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง สามารถเคลื่อนที่ไปมาได้ เพราะความดีอยู่ที่จิต นั่นแหละคือรู้จักตัวความดีแล้ว ความดีไม่ได้มองผ่านการกระทำเพียงอย่างเดียว แต่ดูเหตุผลที่คนนั้นได้กระทำเสียมากกว่า.

หนักแน่นและมั่นคง

เมื่อเรามีความฉับไว และความฉลาด ก็จะเป็นต้องมีการกระทำที่หนักแน่น และมั่นคงตามมา การคบหาคนที่เป็นคนดี ย่อมเกิดพลังอันหาที่สุดมิได้ เนื่องจากการรู้ว่าคนดีย่อมเห็นประโยชน์ในการทำความดี ยิ่งคลุกคลีก็จะยิ่งเกิดปัญญาด้วย เปรียบเหมือนพลังที่ไม่มีใครแบ่งกันได้ แต่สามารถเห็นแล้วนำไปทำตามได้ หลายคนก็ชอบคิดไปเองว่า การอยู่ใกล้คนดีเราจะมีความสุข แต่นั่นไม่ใช่หนทางที่แท้จริง การอยู่ใกล้นั้นเราจะซึมซับพฤติกรรมต่าง ๆ ของคนดี เราจะเห็นประโยชน์ในระยะเวลาหนึ่ง และคิดว่านี่คือสิ่งที่เขาทำและได้ประโยชน์จริง ๆ จึงจะน้อมใจทำตามสิ่งเหล่านั้น.

เมื่อเรารู้ชัดแล้วว่าคนมีปัญญาคืออะไร จงตามหาคนเหล่านี้ให้เจอให้ได้ ยังพอมีหลงเหลืออยู่บ้าง และกำลังแฝงตัวอยู่ในโลกอันแสนกว้างใหญ่นี้ ถามคำถามที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์แก่ตัวเองกับคนเหล่านี้ ก็จะพบคำตอบที่ล้ำค่า ความแข็งแกร่งจะได้จากการฝึกปรือตนเอง ผ่านการหลอมรวมจากปัญหา กลายมาเป็นปัญญาที่ลุ่มลึก เมื่อมีความมั่นคงแล้ว หลังจากนั้นจงกระทำสิ่งนั้นลงไป เปรียบเหมือนจารึกบนศิลา ที่ไม่สามารถลบล้างออกได้ นี่แหละคือความฉับไวที่แท้จริง คนที่ฉับไวจำเป็นต้องมีปัญญา และมีความหนักแน่นเป็นส่วนประกอบหลัก เพื่อจะได้ไม่หลงผิดทำอะไรไปอย่างรวดเร็วโดยขาดการพินิจพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน.

สติมาปัญญาเกิด

ความว่องไวของสติ บ่งบอกความชัดแจ้งอีกส่วนหนึ่งว่า คุณฝึกปรือตนเองมาแค่ไหนแล้ว นี่คือการเดินทางไกลของดวงจิต ถ้ามีประสบการณ์จริงย่อมดูจิตเป็น เห็นจิตเคลื่อนไหวดั่งลมที่ไร้ทิศทางที่ชัดแจ้ง เมื่อรู้ชัดแล้วว่า จิตกับกายไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ย่อมเห็นชัดว่า จิตสามารถทำอะไรก็ได้ดังใจนึก จิตบังคับให้กายขยับ จิตสามารถทุกข์ก็ได้ สุขก็ได้สลับกันไปมา ความฉับไวของสติเป็นส่วนสำคัญของสมาธิ และปัญญาต่อไป เมื่อความไวเกิดขึ้นนี่ก็คือแก่นของความฉลาดที่แท้จริง มีทั้งความว่องไว หนักแน่น มั่นคง และรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา.

ความเป็นหนึ่งอันเดียวกันของธรรมชาติ ย่อมเกิดปรากฏการณ์อันหาได้ยากในโลกนี้ คือบุคคลที่หาได้ยากในโลก เพราะมีความสมบูรณ์พร้อมทั้งสติปัญญา และสามารถร่ายรำดังใจนึก มิหนำซ้ำยังช่วยสังคม และโลกใบนี้ให้มีความสงบสุขได้อีกด้วย พอมองย้อนกลับไปจะพบว่า จุดเริ่มต้นก็คือการเลือกทางเดินแห่งความดีนี่เอง นี่คือผลที่ทุกคนจะได้รับ คือพลังที่ไม่มีขีดจำกัด ล่วงรู้ทุกสรรพสิ่ง จิตกับกายแยกกันแต่เป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ใช่จิตใจหลับใหลเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว พร้อมแล้วที่จะทำให้โลกนี้น่าอยู่มากขึ้นด้วยกำลังที่ฉับไว เปรียบเหมือนออร่าที่แผ่ซ่านออกมาจากจิตใจเบื้องลึก เพื่อสร้างสรรค์สิ่งอื่นต่อไป.