#17 ความเนิ่นช้า

ความเนิ่นช้า

ถ้าความเนิ่นช้าทำให้ชีวิตเรามีความสุขขึ้นไม่มากก็น้อยล่ะ เรายังจะรังเกียจมันอยู่หรือเปล่า หลายคนคงไม่ชอบอะไรช้า ๆ เพราะเวลาเรารอคอยอะไรสักอย่างมันช่างยาวนานซะเหลือเกิน สำหรับผมแล้วความเนิ่นช้ามันจะดี ก็ต่อเมื่อเราเข้าใจสภาวะดังกล่าวนี้อย่างถ่องแท้ เปรียบเสมือนห้วงเวลาอันกว้างใหญ่ ถ้าเราไม่ไปเร่งให้มันเร็วขึ้น ใจเราก็คงจะสุขได้ไม่ยาก ยิ่งยุคสมัยนี้การรอคอยจึงเป็นสิ่งที่แทบจะไม่ต้องทำกัน ทุกอย่างดูรีบเร่งไปเสมอ รวมถึงเวลาช้าก็สามารถติดตามได้ตลอดว่าสิ่งของที่เราสั่ง หรือคนที่เรากำลังรออยู่ตรงไหน เพื่ออย่างน้อยการรอคอยนั้นจะได้ดูเร็วขึ้นกว่าความเนิ่นช้า.

รีบร้อนกับเชื่องช้า

เมื่อความรีบร้อนกับความเชื่องช้ารวมกัน มันจะกลายเป็นสภาวะของความสมดุลขึ้นมา ดั่งหยิน และหยางที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวอย่างมิอาจพรากจากกันไปได้ การที่เรามัวแต่ชอบความรีบร้อน ก็เพราะว่าความรีบร้อนมักจะให้เราได้สมใจอย่างที่รอคอยไว้ แต่ความเชื่องช้า ทำให้เราไม่ได้ดังใจนึก แต่เราลองคิดให้ดี ๆ ว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เราหวังแล้วเราได้สิ่งนั้นในทันที สิ่งที่เราจะขาดไปก็คือ “การไม่เห็นคุณค่าในสิ่งนั้น”.

ในสังคมสมัยนี้ชอบอะไรเร็ว ๆ แต่กลับกลายเป็นว่าไม่เห็นสิ่งใดสลักสำคัญกับชีวิตเลย คุยกันไม่กี่วันก็คบกันเป็นแฟน หรือว่านัดเจอกันทางโซเชียลมีเดีย อะไร ๆ มันก็ดูเร็วไปซะทุกอย่าง เปรียบเทียบกับคนสมัยก่อนที่กว่าจะติดต่อกันได้ก็จำเป็นจะต้องใช้การส่งจดหมายหากัน ซึ่งกินเวลาแรมเดือน นี่แหละคือความแตกต่างของความรอคอยกับไม่รอคอย ถ้าเกิดในอนาคตข้างหน้าไม่มีคำว่าเชื่องช้าแล้วล่ะ เราคงจะคิดถึงมันน่าดูเลย ลองนึกสิว่า เวลาที่เราเบื่อ ๆ ใครอยู่ข้าง ๆ เรา ก็เชื่องช้านี่แหละ และเวลาที่เรามีการจินตนาการอยากจะทำอะไรสักอย่าง หรือต้องการไอเดียในการทำงาน เราก็มีไอความเชื่องช้านี่แหละเป็นเพื่อน การที่เราจะทอดทิ้งมันคงไม่ใช่หนทางของความสุขอย่างแน่นอน ตอนนี้ยังไม่สายเกินไปที่จะฝึกชีวิตให้เนิ่นช้ากัน.

เมื่อความรีบเร่งคือความเก่ง

ถ้าคุณกำลังตกอยู่ในวัฒนธรรมของความรีบเร่ง ถ้าคุณกำลังติดกับดักของความร้อนแรง ให้คุณลองมองดูดี ๆ ว่า “งานชิ้นนึงจะเสร็จด้วยความรีบเร่งมันจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วเหรอ” การทำงานให้ดีต้องจัดเวลาให้เป็น รู้ระยะเวลาว่าต้องส่งงานนี้เมื่อไหร่ แต่มันจะไม่ดีเลยถ้าคุณคิดว่า ความรีบเร่งคือความเก่งกาจ เพราะว่าเมื่อคุณสนใจแค่ระยะเวลาในการทำงาน จนขาดการตระหนักรู้ว่า ชิ้นงานจะประณีตได้ก็ต้องหลอมรวมกับความเนิ่นช้าเข้าไปด้วย ชีวิตที่ขาดความช้าไปมันก็เหมือนรถแรงที่ขับได้แต่ความเร็วสูงสุดตลอดเวลา มันไม่สนุกหรอกนะที่เราจะทำงานแบบนั้นตลอดทั้งวัน ทั้งเดือน และทั้งปี ตอนแรก ๆ มันจะดูเหมือนว่าเราเอาชนะคนรอบข้างได้ด้วยความรวดเร็ว แต่คนที่เก่งกว่าไม่ใช่ชนะที่ความเร็ว แต่เป็นช้า ๆ ให้ชนะนี่แหละ.

วัฒนธรรมนี้กำลังครอบงำผู้คนอันมากมาย โดยขาดการคำนึงถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ‘ความสมดุล’ เมื่อไหร่ที่เราเข้าใจความสมดุลอย่างถ่องแท้ เราจะรู้เลยว่า มากไปก็ย่อมเกินไป น้อยไปก็ย่อมขาดไป ทุกสิ่งไม่มีอะไรที่มากไปแล้วดีหรอก อย่าให้วัฒนธรรมนี้ กลืนกินการดื่มด่ำกับการใช้ชีวิตของคุณไปเป็นอันขาด ถึงแม้ว่าสิ่งต่าง ๆ รอบตัวจะแข่งกับเวลา แต่เมื่อไหร่จุดอิ่มตัวของความเร็วย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ความเนิ่นช้าย่อมได้ชัยชนะ.

ความเนิ่นช้ากำลังได้รับความนิยม

ไม่ว่าจะเป็นการนั่งสมาธิ การอาบป่า การนั่งจิบชา หรือแม้กระทั่งการมีสถานที่โปร่งโล่งไม่แออัด ย่อมได้รับความนิยมอย่างแน่นอน เพราะเนื่องจากความรีบเร่งสอดแทรกทุกบริบทของชีวิตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คนเราก็จะถึงจุดอิ่มตัว ทุกอย่างย่อมหมุนเวียนเปลี่ยนไปเหมือนกงล้อที่หมุนไปเรื่อย ๆ ไม่มีวันหยุด บางครั้งเราอาจจะขาดสติระลึกรู้ว่า ใจเราร้อนจนไม่สามารถหยุดได้แล้ว พอขัดใจก็มักจะมีเหตุให้ขุ่นเคืองใจอยู่เสมอ ก็เพราะความรวดเร็วนั้นเป็นเหตุยังไงล่ะ.

มีข่าวหนาหูมามากมายว่า เด็กในยุคนี้มักจะมีความอดทนต่ำ ชอบความรีบเร่ง และรู้สึกว่าการแข่งขันกันที่ความเร็วย่อมมีศักยภาพเหนือคนอื่น ๆ แต่ทว่า สิ่งที่เป็นผลกระทบของความรีบเร่งก็ย่อมมีมากกว่าความเนิ่นช้านัก ให้สังเกตว่ายิ่งหวังเยอะได้เร็ว เราก็มักจะไม่เห็นค่า ยิ่งเรารีบร้อน เราก็มักจะไม่ได้ดื่มด่ำกับมัน ยิ่งเรารวดเร็วเกินไป เราก็ขาดการพินิจพิจารณา ไตร่ตรองกับสิ่งนั้นอย่างถี่ถ้วน และนี่แหละความรีบร้อนย่อมมีคุณ และโทษมหันต์ สุดท้ายมันก็เปิดโอกาสให้กับความเนิ่นช้าอีกครั้งหนึ่ง แต่เราก็จะเห็นคนล้มหายตายจากความรีบเร่งนี้พอสมควร กว่าจะหยุดได้ก็ต้องเป็นโรคตั้งมากมาย จิตใจอ่อนแอปวกเปียกไม่สามารถอดทนรอคอยอะไรได้ คนที่อดทนได้ก็จะเข้าใจความเนิ่นช้าอย่างประจักษ์แจ้ง.

ช้าให้เป็นเย็นให้ได้

คำพูดง่าย ๆ ว่าให้เย็น ๆ หน่อย ช้า ๆ หน่อย มันมีความสำคัญต่อชีวิตขนาดไหน เราก็ย่อมรู้เมื่อเราเข้าใจชีวิตแล้วจริง ๆ ไม่ใช่ว่าให้ช้าจนนานเกินไปแล้วจะดี แต่เพิ่มความช้าในความเร็วนั้นไปบ้างก็เท่านั้นเอง มีวิจัยอยู่หลายชิ้นมากที่เน้นไปที่การใช้ชีวิตเนิบช้าแล้วจะมีความสุขขึ้น เพราะบางทีความเนิ่นช้ามันอาจจะแปรผันตรงกับความสุขในชีวิตก็เป็นได้ เมื่อไหร่ก็ตามที่จิตมีสติ ก็ย่อมเกิดสมาธิ เมื่อจิตมีสมาธิ ก็ย่อมเกิดปัญญา การที่มีสมาธิทำให้เราเห็นสิ่งที่มากระทบได้ง่ายขึ้น เวลาเราโกรธเราก็จะมีสติมาไวขึ้น และรู้ชัดว่า อารมณ์นั้นเปลี่ยนแปลงไปเสมอ ไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ ยิ่งรีบร้อนก็หมายความว่าขาดสมาธิ และเวลาขาดสมาธิก็มักจะขาดสติ ซึ่งเป็นตัวรู้ที่สำคัญยิ่ง.

การที่เราจะไปเร่งให้ผลมันเกิดขึ้นเร็ว ๆ จึงไม่ใช่ฐานะที่เราจะทำได้เลย เมื่อผลมันเกิดก็เกิดตามเหตุมันก็เท่านั้น สัจธรรมย่อมเป็นเช่นนี้ ถ้าอยากได้เร็วมันก็คือกิเลสที่อยู่ในจิตเรา ยึดอยากให้เวลานั้นเร่งเป็นทวีคูณ เพราะจิตมันเบื่อหน่ายกับตรงนี้ มันอยากให้สิ่งที่ยึดปรากฏขึ้นให้เร็ว ๆ และปัญหาของวัฒนธรรมความรีบเร่งก็มักจะทำลายผู้คนอันอ่อนแอลงไปทุกวัน ใครขาดสติก็เป็นบ้าไป ใครยังพอมีสติก็พอยืนหยัดอยู่ได้บ้าง ส่วนใครที่มีสติสมบูรณ์ย่อมเห็นประโยชน์ในความเนิ่นช้านี้แล.