หากว่าความบอบบางเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เราจะสามารถโอบกอดความบอบบางนี้ได้อย่างไร แล้วจุดที่เราอยู่ตอนนี้เป็นจุดใดกันแน่ของชีวิต แล้วความแข็งแกร่งนี่ยังจำเป็นอีกต่อไปหรือไม่ นั่นคือภารกิจอันสำคัญยิ่ง มันคือความสามารถหรือทักษะที่เราจะต้องบรรลุเป้าหมายตามสิ่งที่เราวางเอาไว้ ด้วยใจที่เป็นกลาง มิใช่ต้องเข้มแข็งตลอดเวลาแต่เราก็สามารถเรียนรู้ที่จะเปราะบางก็ได้เช่นกัน.
เหตุเกิดจากความเปราะบาง
ความสุขในวันนี้เกิดจากสิ่งใด เราจะต้องเป็นคนกำหนดมันขึ้นมาเสียก่อน ก่อนที่เราจะไปหาสิ่ง ๆ นั้น ก็ในเมื่อชีวิตไม่มีสูตรสำเร็จที่เราจะไปชี้ชัดได้ว่า เราจะต้องก้าวเดินอย่างนี้ ท่าทางอย่างนั้น แต่ในความเป็นจริงของชีวิตนั้นหาเป็นเช่นนั้นไม่ แล้วการที่เราเปราะบางอยู่บ่อยครั้ง ที่มันอยู่ตรงกลางที่หัวใจ เราจะจัดการกับมันอย่างไรดีที่ทำให้ชีวิตมวลรวมของเราดีขึ้น ก็ต้องเนื่องด้วยการฝึกที่จะตั้งคำถามใหม่ว่า ชีวิตมีถูกหรือผิด รวมไปถึงมีดีหรือแย่ด้วยปัจจัยใดบ้าง เพราะว่ามันไม่สามารถทำให้เหตุการณ์บางอย่างในชีวิต อย่างเช่นความทุกข์ให้มันกลับกลายเป็นความสุขไปได้ แต่เราต้องรู้วิธีน้อมรับสิ่งที่ไม่ดี จนเกิดกระบวนการตระหนักรู้ต่อไป.
หลังจากที่เรารับรู้แล้วว่าชีวิตมีความเปราะบางเต็มไปหมด เราก็ต้องเปิดใจยอมรับว่าไม่ใช่แค่ความแข็งแกร่งแต่อาจจะเป็นความบอบบางก็ได้ที่ทำให้ชีวิตรุดหน้า ลองสังเกตดูในชีวิตประจำวันดูว่า เรามีอะไรที่ต้องปรับปรุงแก้ไขต่อไปไหม รวมไปถึงสิ่งที่เราควรยอมรับมันเสียตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะไม่เช่นนั้นชีวิตก็จะสูญเสียพลังโดยใช่เหตุกันไป ทว่า การร้องไห้อาจจะไม่ใช่สิ่งที่แย่เสมอไป ถ้าเรารู้วิธีรับมือกับอารมณ์เศร้าได้อย่างถูกทาง บางคนก็ชอบร้องไห้ตอนกลางคืน หรือบางคนก็รู้สึกหดหู่ใจขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ สิ่งเหล่านี้ล้วนบ่งชี้ว่ามนุษย์นั้นมีความบอบบางอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นทั้งทางกายหรือทางใจก็ตามแต่.
เศร้าได้แค่รู้เท่าทัน
เมื่อความเศร้าเป็นผลลัพธ์ของความเปราะบาง เราก็ต้องน้อมรับความเป็นจริงว่าทุกคนสามารถทุกข์ใจได้ เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงไปได้แน่ ๆ เราจึงค่อย ๆ เปิดใจและเรียนรู้ไปกับสิ่งนั้น บางบทเรียนของชีวิตมาในรูปแบบของการสูญเสียคนรัก มันจึงเป็นสิ่งยากที่ทำให้ใจเรายอมรับมัน บางคนหลีกหนีปัญหาด้วยการหลบอยู่หลังปัญหา นั่นก็จะเป็นสาเหตุที่นำไปซึ่งอีกปัญหาอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น ปัญหาของปัญหาก็คือปัญหานั่นเอง แล้วการหาอะไรอย่างอื่นมาทดแทนสิ่งที่ขาดหายไป อาจจะไม่สามารถช่วยได้ในระยะยาว แถมมันยังสร้างปัญหาของการเสพติดกับการทดแทนนั้น ๆ อีกด้วย เราจึงต้องหาทางออกกันอย่างแท้จริง.
ปรัชญาในการใช้ชีวิตมากมายล้วนบ่งชี้ไปยังจุดเดียวกันว่า ปัญหานำมาซึ่งปัญญา หรือว่าถ้าไม่มีปัญหาปัญญาก็ย่อมไม่เกิด แต่ความเป็นจริงนั้น จะเป็นอย่างสิ่งที่นักปรัชญาได้กล่าวอ้างเอาไว้หรือไม่ เราก็จำเป็นจะต้องเสาะแสวงหาคำตอบด้วยตัวของเราเองอยู่เสมอ ไม่มีอะไรที่จะชี้วัดความสุขของชีวิตได้เท่ากับ การยอมรับและโอบกอดปัญหาเอาไว้ แล้วก็ใช้เพียงแค่สติในการรู้เท่าทันก็พอแล้ว หากเราไม่สามารถรู้เท่าทันปัญหาใด ๆ ได้ เราก็จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่เหตุได้ แสดงว่าความบอบบางเป็นส่วนที่ทำให้เราเปิดใจรับปัญหาเท่านั้น ยังมิใช่ตัวปัญหาที่แท้จริง เพราะบางคนก็เปราะบางทุกขณะ แบบนั้นจึงต้องหาทางแก้ไขกันอีกต่อหนึ่ง.
ป้องกันจากสิ่งที่เป็นอันตราย
เมื่อสิ่งภายนอกมีความอันตราย แล้วความอ่อนแอของร่างกายกำลังส่งสัญญาณเตือนว่า เราควรทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นระบบภูมิคุ้มกันที่ร่างกายมักจะสร้างขึ้นมาเพื่อต่อกรกับเชื้อโรค แน่นอนว่าทุกวันนี้ที่เรายังมีลมหายใจ มิใช่ว่าสิ่งภายนอกไม่ได้มีเชื้อโรคเลย แต่ระบบร่างกายเราชาญฉลาดกว่านั้นที่เราจะรับเชื้อโรคมาแล้วรู้จักพัฒนา รวมไปถึงเรียนรู้ต่อสิ่งที่เข้ามายังในร่างกาย เฉกเช่นเดียวกันกับจิตใจที่เราจะมีภูมิคุ้มกันก็ต่อเมื่อเราเจอปัญหาชีวิตที่เข้ามา เราอ่อนแอก่อนแล้วหลังจากนั้นเราจึงแข็งแกร่ง มิใช่ว่าเราแข็งแกร่งก่อนแล้วเราจึงอ่อนแอ สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งสัญญาณใกล้เคียงกันอยู่เสมอ เพราะธรรมชาติอยู่ที่ร่างกายของเราเอง.
การเรียนรู้จักร่างกายของเราเองนั้นย่อมจำเป็น บางคนบอบบางกว่าคนอื่น เราก็ต้องฝึกวินัยในการรับประทานอาหาร รวมไปถึงระยะเวลาในการนอนก็ต้องเพียงพอในแต่ละคืน บางครั้งก็ย่อมมีความเข้าใจผิดในเรื่องเกี่ยวกับการนอนว่า เราสามารถนอนทดแทนได้ในอีกค่ำคืนหนึ่ง หากแต่เพียงร่างกายไม่ใช่การสะสมการนอนหลับได้ แต่มันทำหน้าที่เหมือนวัฏจักรที่พอเราตื่นขึ้นมาเราก็จะรับรู้ว่า การตื่นครั้งนี้เราสะสมจากการนอนหลับไปอย่างไรบ้าง กระนั้น มันไม่ใช่แค่ปริมาณการนอนเพียงส่วนเดียว แต่มันรวมไปถึงคุณภาพของการนอนหลับด้วยเช่นกัน เหตุผลต่าง ๆ อาจจะมีผิดหรือถูกบ้างแต่สิ่งที่สะท้อนมาในชีวิตประจำวันนั่นเองจะเป็นแม่บท.
แข็งแกร่งเป็นเพียงแค่แง่มุมหนึ่ง
ไม่ใช่ทุกคนที่จะพัฒนาจากความเปราะบาง แล้วกลายมาเป็นความแข็งแกร่งได้ และแน่นอนว่าไม่ใช่ความแข็งแกร่งจะเป็นแง่มุมของคนที่ฝึกปรือตนเองมามาก เพียงแต่บางบริบท เราจะไม่สามารถตอบได้โดยส่วนเดียวว่าเราต้องทำอย่างไร หรือคิดสิ่งใดเพื่อได้ผลลัพธ์แบบเดิมซ้ำ ๆ เพราะบางทีความแข็งแกร่งอาจจะไม่สามารถใช้ได้ รวมไปถึงความเปราะบางอาจจะใช้ได้ผลดีกว่าด้วยซ้ำไป หน้าที่ของมนุษย์คือค้นหาตัวตนที่แท้จริงมาให้ได้ มิใช่แค่รู้จักตัวเองเพียงอย่างเดียว แต่ก็ต้องรู้วิธีแก้ไขปัญหานั้น ๆ อย่างใช้ปัญญาด้วย แง่มุมหนึ่งมิอาจบอกถึงอีกแง่มุม เพียงแค่เราใช้สิ่งนี้เพื่ออะไรกันแน่ บางคนใช้ความบอบบางเพื่อเป็นแง่งามของชีวิต แต่บางคนใช้ความแข็งแกร่งเพื่อเป็นการวางอำนาจ.
ค่ากลางของทั้งสองสิ่งนี้ก็ย่อมเป็นเหตุให้กับชีวิตของเราในอนาคต รู้จักวิธีการใช้ชีวิต ดีกว่าไปรู้ว่าความสุขของชีวิตมันอยู่ตรงไหน มันคล้ายกันกับว่าเป็นการฝึกคิดให้ชีวิตได้เรียนรู้ ตระหนักรู้ และตกผลึกในเรื่องนั้น ๆ แม้ว่ามันอาจจะไม่ใช่เป็นคุณสมบัติเดียวที่ทำให้ชีวิตดีขึ้น แต่กระนั้นมันก็เป็นการฝึกฝนวิชาภายในตน แถมยังสามารถอบรบสั่งสอนคนรุ่นหลังได้อีกด้วย นี่หรือเปล่าที่เป็นแง่มุมของความบอบบางเช่นกัน ในวันที่ปัญหาเข้ามาเราก็ต้องฝึกฝนตนเองที่จะเข้มแข็ง หากไม่ใช้ความแข็งแกร่ง ก็อาจจะต้องใช้สติปัญญาในการเสาะแสวงหากันอย่างช้านาน สิ่งหนึ่งเกิดเพื่อสิ่งหนึ่ง และสิ่งหนึ่งดับไปเพื่อสิ่งหนึ่งเสมอ.