การน้อมรับ

การน้อมรับ

หากว่าการน้อมรับมิใช่การยอมรับ แต่มันคือการเห็นพ้องต้องกันกับสิ่ง ๆ หนึ่งอย่างแท้จริง โดยที่เราเข้าใจและตระหนักรู้อย่างถ่องแท้ว่า สิ่ง ๆ นี้จะมอบอะไรให้กับเราจริง ๆ เหมือนว่าเราจะต้องทำความเข้าก่อนอันดับแรก ระหว่างสิ่งที่ดีกับสิ่งที่ไม่ดีมันแตกต่างกันอย่างไร แล้วค่อยพิจารณาว่าเราควรเปิดใจน้อมรับให้เข้ามายังชีวิตของเราได้หรือไม่.

จิตใจเป็นสิ่งที่เปราะบาง แต่เราสามารถฝึกจิตใจได้ด้วยความเชื่อ ความศรัทธา และปัญญาที่มองเห็นสิ่งต่าง ๆ อย่างสิ่งที่มันควรจะเป็น บางครั้งเราก็เจอคนใจร้ายที่มาโน้มน้าวให้เราเชื่อในตัวเขา พูดสิ่งที่เกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้ มันจึงเป็นที่มาของคำว่า ใจที่พังไปแล้วมันยากเกินที่จะเยียวยาได้ใหม่ บางคนก็จึงหมดศรัทธาในคน หมดความเชื่อมั่นว่าเราจะเจอคนที่ดีเข้ามายังชีวิตของเรา.

ยอมอ่อนข้อได้ แต่อย่ายอมจนเสียความหมายของชีวิต และอย่ายอมจนเราไม่มีตัวตน มันคือคำถามว่าเราควรจะใช้ชีวิตไปยังวิถีทางใด เลือกทางของตัวเองก่อนแล้วค่อยเลือกคนที่จะมาเดินร่วมทางกันกับเรา โลกนี้จะไม่มีคำว่าบังเอิญ มันไม่มีคำว่าวันหนึ่งเราจะได้ดีเองตามธรรมชาติ แต่มันคือการบ่มเพาะของตัวตนที่ผ่านมา ยิ่งเราใช้ชีวิตอย่างปล่อยปละละเลย ปัญหาของการยอมก็จะยิ่งบานปลาย.

สักวันหนึ่งเราทุกคนจะบ่ายหน้าไปยังทางแห่งความดี มันคือการน้อมรับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างการรู้เท่าทันของธรรมชาติ เมื่อเราไม่มี เราก็จึงมีขึ้น และเมื่อเรามีขึ้น เราก็จึงตระหนักว่ามันจะต้องจบลงในสักวันหนึ่ง ความยั่งยืนของชีวิตจึงมีเพียงแค่สิ่งเดียวก็คือความรู้สึกของเรา ถ้าปราศจากการใช้ชีวิต เราก็จะไม่ได้รับอะไร ไม่ได้ต้อนรับสิ่งใดเข้ามา รวมถึงใจของเราเองก็เช่นกัน.

ถ้าวันนี้เราเสียใจก็ให้รู้ตัว และถ้าวันนี้เราดีใจก็ให้รู้ไว้ ทั้งสองสิ่งนี้คือกระบวนการสร้างชีวิตให้สุขสมบูรณ์มากขึ้น ชีวิตไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้เราจะเลือกแต่น้อมรับในสิ่งดีอย่างเดียว แต่มันกลับกลายเป็นเราต้องเลือกน้อมรับทั้งสองสิ่งไปพร้อมกัน มันจึงจะเป็นทั้งการเรียนรู้ ส่งต่อมายังการตระหนักรู้ และก็จะเป็นการตกผลึกสืบไป ใช้ชีวิตอย่างที่ชีวิตนั้นเป็นไป นั่นแหละจึงเรียกว่าความคุ้มค่ากับการได้เกิดมาบนโลกใบนี้.

น้อมรับทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี แล้วค่อยเลือกสรรว่าสิ่งนั้นควรจะอยู่ในชีวิตของเราจริงหรือไม่

ศุภกิตติ์ กิติมหาคุณ