เมื่อเรามีความคิดหนึ่งปรากฏขึ้นมา มันก็ต้องถูกออกแบบเพื่อแสดงเจตจำนงเหล่านั้นออกมา แล้วการถูกปฏิเสธก็ย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไปไม่ได้ หน้าที่ของเราก็คือเน้นการกระทำของเราเป็นหลัก โฟกัสในจุดที่ใช่ที่สุดนั่นก็คือตัวของเราเอง ตั้งต้นให้ถูกแล้วผลลัพธ์ก็จะไหลไปสู่จุดที่ใช่เอง.
เหตุปัจจัยจะกำหนดทิศทางของชีวิต นั่นจึงเป็นสิ่งที่อธิบายได้ยากอย่างยิ่งว่า เราควรคิด ควรพูดหรือ ควรกระทำสิ่งใดสักสิ่ง เพื่อให้อนาคตมันดีขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นแง่มุมของธรรมชาติที่คอยขัดขวางเรา แถมปฏิเสธในสิ่งที่ไม่ใช่โชคชะตาของเราจริง ๆ มันก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่เราต้องเลือกที่จะปฏิเสธเองด้วย.
คนที่ประสบความสำเร็จมากมาย ล้วนปฏิเสธสิ่งที่ไม่ใช่ ไปสู่สิ่งที่ใช่มากยิ่งขึ้น เหมือนเป็นการใช้วิธีตัดช้อยส์ เวลาเรารวบรวมตัวเลือกมา เราก็คงอาจจะยังไม่ได้ตัดสินใจในทันทีทันใด เพียงเพราะมันคือโอกาสเท่านั้น มันยังไม่ใช่วิถีทาง การปฏิเสธก็จะช่วยเราในการเลือกสรร เฟ้นหา และสอบทานสิ่งที่เราได้เลือกไป การเรียนรู้ในการตัดสินใจจึงจำเป็นต้องใช้ทั้งประสบการณ์ และความรู้ที่ได้สะสมมาอย่างถูกต้องด้วย.
แม้กระทั่งการจัดการในชีวิต ก็ย่อมเป็นสิ่งที่ต้องใช้สติในการพินิจพิเคราะห์ เหมือนว่ามันคือพวงมาลัยของชีวิต ที่เราจะตระหนักรู้ว่า ทางใดเป็นทางที่ดีจริง ๆ เราก็จึงต้องประเมินจากตัวเลือกที่เรามี ตัดสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเราทิ้งไป แล้วค่อย ๆ ตัดสิ่งที่จะทำลายชีวิตของเราในอนาคต.
กว่าจะเจอหนทางที่ใช่ เราก็อาจจะสะบักสะบอม เนื้อตัวไม่ได้สะอาดสะอ้านเหมือนคนที่ไม่ได้แสวงหาหนทาง แต่อย่างน้อยมันคือประสบการณ์ มันอาจจะใช่มากขึ้นก็ได้ ถ้าเรารู้จักที่จะตัดสินใจที่จะไม่เอา หรือมันน่าจะเป็นโอกาสที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น ถ้าเราน้อมรับที่จะเลือกทางนั้น ว่ามันเป็นทางที่เราได้เลือกแล้ว เคารพต่อการตัดสินใจนั้น ๆ แล้วเดินหน้าต่อไป ไม่ต้องกังวลว่าจะเจออุปสรรคสักแค่ไหน ขอเพียงแค่เราเชื่อมั่นว่าวันหนึ่งเราจะพบเจอทางออกของชีวิต แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่เราเลือกเดิน.
จงปฏิเสธในสิ่งที่ไม่ใช่ ยังไงแล้วชีวิตเราก็เลือกได้แค่ทางเดียวอยู่ดี จงตั้งใจเลือกให้ดี
ศุภกิตติ์ กิติมหาคุณ