ในทุกวันนี้ความคิดต้องคิดแบบไหนถึงจะถูกต้อง หรือคิดว่าที่เป็นอยู่แล้วมันก็ดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนอะไร และถ้ากำลังคิดว่าคิดถูกอยู่แล้ว ให้ไปดูที่ผลลัพธ์ของความคิดว่าจะต้องเป็นความสุข แต่ถ้าผลลัพธ์มันเป็นความทุกข์ นั่นก็แปลว่ากำลังคิดผิดอย่างแน่นอน เมื่อรู้หนทางแล้วว่าความคิดจะต้องตรงกับหลักเหตุ และผล ที่ว่า “ความคิดที่ดีย่อมนำมาซึ่งความคิดที่เป็นเชิงบวก” เปรียบเหมือนสัมมาทิฏฐิ กับมิจฉาทิฏฐิ ที่ทั้งสองย่อมมีเหตุที่ต่างกัน นำมาซึ่งผลที่ต่างด้วย.
การคิดบวกเป็นสิ่งที่ไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่ายมันขึ้นอยู่กับพื้นฐานเดิมของแต่ละคน ถ้าเป็นคนที่มองโลกอย่างเข้าใจ ก็จะเป็นสิ่งที่ไม่ยากกับการเข้าใจปัญหาชีวิตต่าง ๆ ที่เข้ามา แต่ถ้าเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเองสูงมาก และยากที่จะเชื่ออะไรใคร แถมว่าเป็นคนที่ค่อนข้างจะคิดว่า ความคิดบวกไร้สาระ นั่นคงเป็นสาเหตุหลัก ที่ทำไมถึงยังไม่มีความสุขในชีวิตสักที.
ความสุขจะเกิดจากการที่ไม่ได้ตั้งตัวเป็นเสาอันใหญ่ให้ทุกอย่างมากระแทกกระทั้น แต่ต้องทำตัวล่องหนเปรียบเสมือนว่าไม่มีตัวตนอยู่เลย ก็คือการที่ลดอัตตาตัวตนลงนั่นแหละ ความคิดแบบนี้สวนทางความรู้สึกของคนส่วนใหญ่อย่างแน่นอน เพราะทุกคนจะคิดว่า “ฉันต้องการให้ทุกสายตาจดจ้องมองที่ฉันคนเดียว” มันรู้สึกว่าเพิ่มคุณค่าให้ตัวเองมากยิ่งขึ้น แต่ให้ลองคิดกลับกันว่า การที่รอให้ทุกคนมาเข้าใจตัวเอง แต่เป็นการเริ่มต้นที่จะเข้าใจผู้อื่นก่อนอันไหนมันจะทำให้มีความสุขได้เร็วที่สุด.
ความคิดที่ดีคือสิ่งที่จะทำให้มีความสุขโดยที่ไม่จำเป็นต้องแสวงหาอะไรเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรอบข้างมีความสุข ความรู้สึกอันแผ่ซ่านก็ย่อมมาถึงตัวเราเองอยู่ดี ไม่จำเป็นต้องทำให้ทุกคนมาจดจ้องที่เรา แต่ให้ไปจดจ้องที่คนอื่นแทน ดูว่า “เราพอที่จะช่วยอะไรเขาได้หรือไม่”.
ยิ่งเปลี่ยนจุดโฟกัสจากในอดีตที่มัวแต่สนใจเรื่องของตัวเอง เปลี่ยนไปสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ก็จะค้นพบว่าไม่มีอะไรสำคัญไปมากกว่าสิ่งที่เรากำลังจดจ้องอยู่หรอก ณ ตอนนี้ เรามองแต่ตัวเองตลอดเวลา จึงคิดว่าตัวเองสำคัญนักหนา แต่ถ้าวันใดวันนึงรู้ชัดแล้วว่า แค่เปลี่ยนมุมมองไปสนใจสิ่งอื่นบ้าง ความสำคัญก็ย่อมเปลี่ยนตามไป ที่เขาว่ากันว่า “ทุกอย่างอยู่ที่เลือกมอง จะมองมุมไหนก็จะเห็นภาพนั้นชัดเจนมากยิ่งขึ้น” ก็เท่านี้เอง.
การคิดบวกไม่ใช่ดีจนบ้า แต่เป็นคิดในแง่ดีท่ามกลางเหตุการณ์อันเลวร้าย
ศุภกิตติ์ กิติมหาคุณ