คนส่วนใหญ่พอเห็นคำนี้จะรู้สึกทันทีว่า “คนนี้แย่เนอะ” “เขานึกถึงแต่ตัวเอง” บลา ๆ นั่นไม่ใช่ความหมายที่ผิด… แต่ก็ไม่ใช่ความหมายที่ถูกต้องเสมอไป บางคนเข้าใจผิดถึงขั้นพอได้ยินคำนี้ก็รู้สึกว่าคนประเภทนี้ต้องถอยห่างออกไป หรือไม่ควรสุงสิงด้วยเพราะเขาคนนั้นเป็นคนที่เห็นแก่ตัวไม่นึกถึงความรู้สึกของคนรอบข้าง ถ้าเราลองมองกลับกันว่า เขาเหล่านั้นกำลังทำร้ายตัวเองทั้งทางตรง และทางอ้อม เราจะรู้สึกสงสารและเห็นใจทันทีว่าเราไม่ควรซ้ำเติมเขาอีกต่อไป.
แต่ทว่า อีกนัยนึงมันอาจจะหมายถึง “คนที่รักตัวเองย่อมสรรหาสิ่งที่ดีให้กับตนเองเสมอ” มันก็คงใช้คำเดียวกันคือ ความเห็นแก่ตัว แต่ทำไมความหมายนัยนี้ช่างต่างกันเหลือเกิน ทุกคนต้องมองย้อนกลับมาดูใจของตัวเอง ว่าเรานั้นเห็นแก่ตัวหรือว่าเรากำลังทำร้ายตัวเองกันแน่ บางคนถึงขั้นกับมองว่า “นี่แหละคือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต” “ทุกคนก็ต้องรักตัวเองกันทั้งนั้น” แต่คนส่วนใหญ่แล้วเขากำลังทำร้ายตัวเองทางอ้อมอยู่หรือเปล่า เพราะว่าความเป็นจริงแล้วถ้าคน ๆ นั้นเห็นแก่ตัวจริง ๆ เขาจะต้องทำสิ่งดี ๆให้กับคนอื่น ๆ รอบตัวเขา.
เหมือนกับคำพูดที่ว่า “เรามักจะทำ หรือพูด ในสิ่งที่เราคิด และความคิดนั่นแหละคือสิ่งที่กำหนดอนาคตของตัวเอง” ถ้าคุณเห็นแก่ตัวจริง ๆ ต้องเริ่มทำความดี เสียสละ และเป็นผู้ให้ เริ่มที่จะคิดดี ทำดี และพูดดีนี่คือหนทางของคน ‘เห็นแก่ตัว’.
แล้วสิ่งนี้จะมาสอบทานตัวเราเองเสมอว่า สุดท้ายแล้วสิ่งที่เราเห็นแก่ตัวมาตั้งแต่เล็กยันโต นี่คือสิ่งที่เรากำลังทำเพื่อตัวเองอย่างแท้จริงใช่ไหม มันจะมีอะไรที่สลักสำคัญไปกว่าการที่ทำทุกอย่างเพื่อตัวเองอีกล่ะ เมื่อรู้ และเข้าใจอย่างถ่องแท้ ก็สามารถเห็นประโยชน์ในการให้มากขึ้น เพราะเราจะดึงดูดสิ่งนั้นเข้ามาหาตัวเราเอง.
เราคิดถึงแต่ตัวเองทั้งวัน ชีวิตเราก็จะมีแต่ตัวเราเองทั้งวัน ถ้าเราแบ่งเวลาที่คิดเรื่องของตัวเองไปคิดเรื่องของคนอื่นบ้าง ชีวิตเราก็จะเกิดความสมดุลขึ้นมา จนกลายเป็นเราอุทิศตนเองเพื่อสิ่งแวดล้อม ธรรมชาติ และสรรพสิ่ง เพื่อให้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวนั้นมีความสุข สงบ ร่มเย็นมากขึ้น ลองคิดดูว่าถ้าเราสามารถทำให้โลกนี้น่าอยู่มากขึ้น มันจะยิ่งใหญ่แค่ไหน นี่แหละคือความหมายของการเห็นแก่ตัวอย่างแท้จริง.
ถ้าเห็นแก่ตัวจริงๆ เราควรทำทุกวิถีทางให้ชีวิตของเราดีขึ้น
ศุภกิตติ์ กิติมหาคุณ