ขึ้นชื่อว่าเวลานั้น ก็เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถเข้าใจมันได้ทั้งหมด เพราะเวลาเป็นทรัพยากรเดียวที่ไม่สามารถเอากลับคืนมาได้ ไม่สามารถหาเพิ่มได้จากที่ใดบนโลกใบนี้ หน้าที่ของทุกสรรพสิ่งคือ นำเวลาที่กำลังเดินหน้าอยู่นี้ ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงที่สุด แต่มันก็ไม่มีสูตรสำเร็จว่า เวลาดังกล่าวจะคุ้มค่าในจุดใดกันแน่.
ทุกหนังภาพยนตร์จะต้องสอดแทรกปรัชญาของการเดินทางข้ามเวลา และมีหลายเรื่องราวที่เราก็ได้ขบคิดกันไปว่า เวลานั้นมีอยู่จริงหรือไม่ ถ้าหากเวลานั้นมีอยู่จริงแล้วตัวกำหนดให้เวลานั้นเดินต่อไปเรื่อย ๆ นั้นคืออะไร จากคำถามอันมากมาย จึงยากที่เราจะค้นหาคำตอบเจอ ก็อาจจะมีส่วนทำให้เราไม่ได้ใช้ชีวิตกันจริง ๆ เสียที เพราะถ้าตอบตามประสบการณ์ความเข้าใจ เวลาก็คือสิ่งที่เราเชื่อว่ามีอยู่นั่นเอง.
โดยตัวเนื้อแท้ของเวลา เราจะไม่สามารถไปบังคับอะไรได้ทั้งนั้น และมีทฤษฎีมากมายชี้ชัดไปในจุดแกนกลางของเวลาว่า ถึงแม้เราจะย้อนเวลากลับไปได้ สิ่ง ๆ นั้นก็จะถูกเปลี่ยนแปลงไป รวมถึงสิ่งอื่นที่เป็นผลอันต่อเนื่องของสิ่ง ๆ นั้นก็ย่อมถูกเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยเช่นกัน นี่คือความพิศวงของเวลา หรือว่ามันเป็นหลักของเหตุและผลกันแน่.
การแปรเปลี่ยนสรรพสิ่งจึงนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไปในรูปแบบของเหตุ แสดงว่าเราอาจจะไปโฟกัสที่การย้อนเวลากลับไม่ได้ เพียงแต่วันนี้เราอยู่ที่ปัจจุบันขณะ และถึงแม้ว่าจะสามารถย้อนเวลากลับไปได้ เราก็มิอาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย เพราะตัวเราในวันนี้ย่อมถูกหล่อหลอมมาโดยเหตุปัจจัยดังกล่าว จึงมีส่วนทำให้เราคิด อ่าน และตัดสินใจที่จะย้อนเวลากลับไป แล้วถ้าเราย้อนเวลากลับไปแก้ไขบางสิ่ง สุดท้ายแล้วมันก็จะวนเวียนอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้นกันอยู่ดี.
วันนี้คงเป็นวันแรกและวันสุดท้ายที่เราจะได้อยู่กับมันอย่างแท้จริง หากเราค้นพบแล้วว่าการปรับเปลี่ยนสิ่งใด ก็สู้การปรับเปลี่ยนที่ตัวเราเองไม่ได้ จงเริ่มต้นที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองตั้งแต่วันนี้ แล้ววันข้างหน้า เราจะพบอีกตัวตนหนึ่งที่เราพยายามกลับไปแก้ไขอดีตกันอยู่ตลอดเวลา แล้วทุกสิ่งก็ย่อมไม่สายเกินไปที่จะแก้ไขในเวลานี้.
การเดินทางข้ามเวลาเป็นหนึ่งสิ่งที่ทำให้เรารู้ว่า ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปได้ เพราะสิ่งหนึ่งเปลี่ยน อีกสิ่งย่อมเปลี่ยนตาม
ศุภกิตติ์ กิติมหาคุณ