คุณเป็นผู้ให้ หรือผู้รับ

คุณเป็นผู้ให้ หรือผู้รับ

ความคิดเห็นต่อการบรรยาย

Grant เชื่อว่าคนที่เป็นคนขี้หวาดระแวงคือคนที่เป็นผู้รับ พวกเขาจะคิดว่าต้องเป็นคนอื่นไม่ใช่ตัวของเขาเองที่เป็นคนหวาดระแวง ทั้งที่ตัวเขาเองนั่นแหละที่เป็นคนที่หวาดระแวงคนอื่น ผู้รับจะตั้งคำถามว่า “อะไรที่คนอื่นสามารถทำให้ฉันได้” กลับกันกับคนที่เป็นผู้ให้ย่อมคิดว่า “อะไรที่ฉันสามารถทำให้คนอื่นได้”.

การทดสอบต่อไปนี้จะวัดความเป็นผู้รับ และผู้ให้ในตัวของคุณเองมันเรียกว่า “การทดสอบความหลงตัวเอง”.

วิธีการแรกนำสิ่งที่คุณคิดเกี่ยวกับตัวของคุณเอง (Take a moment to think about yourself)

วิธีที่สองถ้าคุณได้คิดถึงตัวเองจริง ๆ คุณจะไม่ใช่คนที่หลงตัวเอง (If you made it to step 2, you are not a narcissist)

การทดสอบในครั้งนี้ไม่มีข้อมูลแสดงให้เห็น แต่เขาพยายามให้ทุกคนมีเสียงหัวเราะกับการ์ตูนในครั้งนี้ แล้วมันคือคำตอบว่าการทดสอบนี้จะทำให้คุณกังวลเกี่ยวกับความหลงตัวเองมากขึ้น และมันคือคำตอบว่าไม่ใช่คนที่หลงตัวเองทุกคนที่จำเป็นต้องเป็นผู้รับ.

แล้วสิ่งที่จะอธิบายจริง ๆ ของผู้รับก็คือคนที่มีปัญหาทางจิต ผลวิจัยจากคน 30,000 คน หลากหลายประเทศและวัฒนธรรมพบว่าคนส่วนใหญ่อยู่ระหว่างกลางของผู้รับและผู้ให้ พวกเขาเลือกก้ำกึ่ง มันคือการที่เรียกว่ายื่นหมูยื่นแมว คุณให้อันนี้กับฉัน แล้วฉันจึงให้อันนี้กับคุณ.

อีกผลวิจัยหนึ่งที่เขาได้ไปสำรวจในองค์กรต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงานทุกระดับชั้นผลปรากฏว่า คนที่ทำงานได้แย่ที่สุดคือเป็นคนที่เป็นผู้ให้ ทว่า ในความเป็นจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นสายงานไหนก็ล้วนแต่มีประสิทธิผลที่ย่ำแย่มาก เพราะการที่พวกเขาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ฉันชอบช่วยเหลือคนอื่น” คำถามที่เราไม่ควรถามคือ “ทำไมคุณทำผลงานได้ห่วยแตกขนาดนี้” ให้เปลี่ยนเป็น “อะไรที่ทำให้คุณได้รับจากการช่วยเหลือผู้อื่นในการขาย” และคำตอบก็คือ “มันดีนะ ผมแค่รู้สึกเป็นห่วงความรู้สึกของลูกค้าผมก็แค่นั้น และผมจะไม่ขายของที่ดูก๊องแก๊งให้ลูกค้า”.

38 รอบ การเรียน 3,611 คน ทำงาน ได้ให้คำตอบอย่างชัดเจนว่าผู้ให้ย่อมทำให้องค์กรนั้นดีขึ้นโดยทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นมูลค่าหรือคุณค่าก็ตามแต่ เช่น รายได้ที่เพิ่มขึ้น ความพึงพอใจของลูกค้า และการบำรุงรักษาลูกจ้างไว้ได้.

สิ่งต่อไปนี้เขาจะแสดงให้เห็นว่าผู้ให้ย่อมดีในทุกบริบท แต่คำถามก็คือ “ถ้าผู้ให้ไม่สามารถทำให้บริษัทเติบโตได้ แล้วใครล่ะที่สามารถทำได้” สิ่งที่เป็นตัวชี้วัดของผู้รับคือมักจะขึ้นเร็วและลงเร็วเช่นกัน ถ้าคุณเป็นคนก้ำกึ่งมันจะหมายถึงว่าคุณเป็นคนเชื่อเรื่อง ตาต่อตาฟันต่อฟัน ถ้าคุณเผชิญหน้ากับผู้รับ คุณจะรู้สึกแย่มากเพราะผู้รับนั้นจะไม่ให้อะไรกับคุณเลย แต่ในทางประสิทธิภาพของการทำงานแล้วทุกคนคงคิดว่าก้ำกึ่งจะทำให้บริษัทเติบโตขึ้นได้ แต่ความเป็นจริงไม่ใช่แบบนั้นเหมือนกัน.

เขาย้ำว่าทุกการสำรวจและที่ได้ศึกษามานั้นผู้ให้ย่อมให้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมอีกเช่นเคย มาดูสิ่งที่เขานำข้อมูลบางส่วนของคนที่ทำงานขายกว่าร้อยคน ผลปรากฏว่าผู้ให้นั้นทำรายได้เข้าบริษัทสูงมากที่สุดรองลงมาคือก้ำกึ่งและสุดท้ายคือผู้รับ ผู้ให้สามารถทำรายได้สูงสุดและต่ำสุดในเวลาเดียวกัน คำถามที่เราต้องถามต่อไปคือ “เราจะสามารถสร้างโลกที่มีแต่ผู้ให้เพื่อที่จะเป็นคนนำความสุดยอดได้อย่างไร”.

สิ่งที่จะทำให้ผู้ให้นั้นมีผลขยายตัวมากยิ่งขึ้นสามารถทำได้ทุกที่ ไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นธุรกิจ โรงเรียนหรือแม้กระทั่งองค์กรต่าง ๆ โดยนำมาใช้ดังนี้.

1. ป้องกันผู้ให้จากภาวะหมดไฟ (Protect givers from burnout)

ให้คุณตระหนักรู้ว่าการที่ทำให้ผู้ให้หมดไฟนั้นไม่ดีอย่างแน่นอน เพราะเขาจะไม่มีไฟในการทำงานต่อ คุณต้องปกป้องผู้ให้โดยอยู่ตรงกลางมากที่สุด และเขาเรียนรู้บทเรียนอันล้ำค่าของคนที่ติดอันดับ Fortune’s best networker ชื่อ Adam Rifkin บุคคลนี้เชื่อว่าการที่ใช้เวลา 5 นาที ทำสิ่งที่โปรดปรานโดยการเป็นผู้ให้ และกล่าวอีกว่า “คุณไม่จำต้องเป็นแม่ชีเทเรซ่า หรือมหาตมา คานธี” คุณแค่ต้องหาหนทางที่เล็กที่สุด เพื่อเพิ่มมูลค่าของชีวิตคนอื่นให้ยิ่งใหญ่มากที่สุด.

2. ส่งเสริมการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน (Encourage help-seeking)

มันจะช่วยให้องค์กรของคุณดีมากยิ่งขึ้น ด้วยการช่วยกันตอบคำถามคนที่ต้องการความช่วยเหลือ ยกตัวอย่างเช่น พยาบาลที่อยู่ในโรงพยาบาลน้อยคนมากที่จะส่งเสริมการช่วยเหลือกัน ส่วนใหญ่ต่างคนต่างอายที่ตัวเองจะเข้าไปช่วย หรือมันอาจจะไม่เหมาะสม แต่ความเป็นจริงมันช่วยทำให้คนอื่นยิ่งอยากจะช่วยมากขึ้น ถ้าทุกคนเริ่มต้นช่วยเหลือกัน.

จำนวนระหว่าง 70% และ 90% ขององค์กรได้เริ่มต้นที่จะร้องขอมากขึ้น เพราะผู้คนส่วนมากไม่กล้าที่จะถามตรง ๆ มันเหมือนกับว่าเขาดูไม่มีความพร้อม และมันก็ดูเป็นภาระให้กับคนอื่น อย่างน้อยก็ทำให้เห็นว่าการที่เริ่มต้นช่วยกันก็ทำให้คนอื่นอยากช่วยเหลือกันมากยิ่งขึ้น.

3. นำคนที่ถูกต้องขึ้นรถบัส และนำคนที่ไม่ถูกต้องลงจากรถบัสไป (Get the right people on the bus Keep the wrong people off the bus)

เมื่อคุณรู้ชัดแล้วว่าการที่นำคนที่ถูกต้องขึ้นรถบัสมันอาจจะไม่ใช่คำตอบที่จริงสักเท่าไร ก็ในเมื่อถ้าเราไม่นำคนที่ไม่ดีออกจากรถบัสไป เปรียบเหมือนปลาเน่าตัวเดียวเหม็นไปทั้งข้อง ผลเสียอย่างมหาศาลคือถ้าผู้ให้อยู่ร่วมกับผู้รับหลายคนมันทำให้ผู้ให้นั้น ก็จะมีความคิดว่าแล้วฉันจะให้ต่อไปทำไมล่ะ ก็ในเมื่อคนในทีมไม่มีผู้ให้เลย.

แล้วจะจับตัวคนที่เป็นผู้รับ ก่อนที่มันจะสายเกินไปยังไงล่ะ ก็ด้วยการวัดว่าเขาเหล่านั้นมีความยินยอมเห็นใจด้วยหรือไม่ คนที่ยินยอมจะเป็นคนที่อบอุ่น มีความเป็นมิตรและดูสุภาพ ซึ่งแตกต่างกับคนที่เป็นคนไม่ยินยอมจะมีความรุนแรง ขี้ระแวงและท้าทายมากกว่า ทว่า จากการที่ได้สำรวจมามันไม่มีความเกี่ยวข้องกับสิ่งที่กล่าวมานี้เลย เพราะผู้ให้ไม่จำเป็นต้องยินยอม และผู้รับก็ไม่จำเป็นต้องไม่ยินยอมเสมอไป.

แผนผังแสดงถึงผู้ให้และผู้รับว่ามีทั้งยินยอมและไม่ยินยอม คนที่เป็นผู้ให้ส่วนใหญ่จะเป็นคนดี น่าเชื่อถือและสามารถทำให้องค์กรดีขึ้นได้ แต่ผู้รับนั้นตรงกันข้ามถ้าผู้รับที่ยินยอมง่ายก็เหมือนคนที่จะมาแทงข้างหลังคุณได้ตลอดเวลา ส่วนผู้รับที่ไม่ยินยอมก็คือเหล่าร้ายดี ๆ นี่เอง สิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้คือถ้ามีคนไปถามว่า “คุณสามารถบอกได้ไหมว่าใครสี่คนที่ทำให้พื้นฐานการทำงานดีขึ้น” ผู้รับจะบอกชื่อคนที่มีอิทธิผลต่อเขามากที่สุด มันดูเหมือนดีในช่วงแรกแต่ช่วงท้ายกับไม่ดีอย่างที่คิดไว้.

คำว่า Pronoia – Brian Little หมายถึงภาพลวงตาของความเชื่อที่ทุกคนจะพยายามวาดฝันชีวิตให้มีชีวิตที่สวยงาม ในเรื่องที่เขากล่าวมาทั้งหมดเกี่ยวกับผู้ให้ ไม่ใช่ภาพลวงตาแต่มันคือความเป็นจริง อย่างน้อยก็ทำให้คนที่ประสบความสำเร็จเพิ่มมากขึ้นบนโลกใบนี้.

ผู้ให้ย่อมเป็นคนที่นำความสำเร็จสู่โลกใบนี้อย่างแท้จริง

Adam Grant

สามารถซื้อหนังสือได้ที่

Amazon
Books Kinokuniya