ทำไมเราทุกคนถึงต้องฝึกฝนการปฐมพยาบาลจิตใจ

ความคิดเห็นต่อการบรรยาย

การเปรียบเทียบนั้นเกิดขึ้นมาเพราะ เรารู้สึกว่าคนนั้นได้มากกว่าเราถึงแม้ว่าจะเพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่เมื่อ Winch ได้เป็นนักจิตวิทยาจึงได้เห็นความลำเอียงในรูปแบบต่าง ๆ จนกระทั่งจบการศึกษามาแล้วก็เขียนนามบัตรว่า “ผมเป็นนักจิตวิทยา ไม่ใช่หมอจริง ๆ” นั่นสื่อถึงว่าคนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับกายมากกว่าใจ.

เหตุการณ์หนึ่งที่เด็กหกล้มแล้วเดินไปหยิบพลาสเตอร์ยา แล้วมาปิดแผลตัวเองที่หกล้ม แต่ทว่า เด็กคนนี้ยังไม่รู้วิธีผูกเชือกรองเท้าเลย แต่กลับรู้ว่าต้องปิดแผลไม่ให้แผลนั้นติดเชื้อ ทุกคนย่อมรู้ว่าจะต้องดูแลรักษากายอย่างไร แต่กลับกันเราไม่รู้เลยเกี่ยวกับการดูแลรักษาจิตใจเลยแม้แต่น้อย.

ทำไมกายถึงสำคัญกว่าใจนักล่ะก็ในเมื่อบาดแผลทางใจ หรือการโดนปฏิเสธล้วนสร้างผลกระทบมากกว่าเยอะ มันถึงเวลาแล้วที่เราจะยุติช่องว่างระหว่างกายและใจ เพราะเราควรจะให้ความสำคัญเท่ากัน.

ย้อนเวลากลับไปสมัยตอนที่ยังต้องติดต่อผ่านทางโทรศัพท์ เขาได้เรียนต่อที่ต่างประเทศ พี่ชายคิดถึงเขามากและเขาก็คิดถึงพี่ชายเช่นเดียวกัน อยู่มาวันหนึ่งก็คิดว่าทำไมพี่ชายถึงไม่ยอมโทรมาสักที เพราะปกติก็โทรมาเป็นประจำ ผลปรากฏว่าสายโทรศัพท์นั้นไม่ได้เสียบเข้ากับผนังก็เนื่องด้วยเขาเตะมันหลุดเองในเช้าวันก่อน เมื่อพี่ชายโทรมาก็ถามว่า “ทำไมไม่ยอมโทรกลับมา” สิ่งนี้ทำให้เขาคิดได้ว่า “จริงด้วยทำไมถึงไม่โทรกลับนะ”.

1. ความเหงา (Loneliness)

ความเหงาทำให้เกิดบาดแผลทางจิตใจ มันมีสิ่งหนึ่งที่เราชอบคิดว่าคนอื่นคิดถึงเราน้อยกว่าที่เราคิดถึงพวกเขาเหล่านั้น แต่นั่นไม่ใช่ความจริงเลย เพราะความเหงาทำให้คุณไม่กล้าจะเป็นคนเริ่มต้นปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ปัญหาความเหงาที่สะสมมากขึ้นมีสิทธิ์ทำให้คุณตายได้เลยนะ มันเพิ่มโอกาสการตายก่อนวัยอันควรมากถึง 14% และก่อเกิดโรคภัยมากมายมหาศาล โดยมีภัยเทียบเท่ากับการสูบบุหรี่.

ให้ความสนใจกับความเจ็บปวดทางอารมณ์ (Pay attention to Emotion Pain)

2. ความล้มเหลว (Failure)

เมื่อผมเห็นเด็ก 3 คนที่กำลังเล่นกล่องที่มีปุ่มกดสีแดง ถ้ากดปุ่มสีแดงจะทำให้ลูกหมาโผล่ขึ้นมา คนแรกกลับดึงปุ่มสีม่วงแล้วไม่มีลูกหมาออกมาทำให้เด็กคนนั้นไม่กดปุ่มอีกเลย คนที่สองกลับไม่ทำอะไรเลยเพราะเห็นคนแรกทำไม่สำเร็จ แต่คนที่สามกลับพยายามกดปุ่มสีแดง แล้วปรากฏว่าเห็นน้องหมาโผล่ขึ้นมา.

การทดสอบดังกล่าวได้แสดงให้เห็นว่าแต่ละคนมีปฏิกิริยาการตอบสนองต่อความล้มเหลวแตกต่างกัน ก็เพราะคนที่ตอบสนองต่อความรู้สึกล้มเหลวแล้วไม่ยอมปรับปรุงพัฒนา นั่นแหละทำให้เชื่ออย่างจริงจังว่าล้มเหลวอย่างแท้จริง มันมีผลทำให้คุณไม่เชื่อว่าคุณจะประสบผลสำเร็จในชีวิตได้ต่อให้จะมีโอกาสเข้ามาแค่ไหนก็ตาม.

ห้ามเลือดของอารมณ์ (Stop Emotional Bleeding)

3. การถูกปฏิเสธ (Rejection)

คุณไม่ควรไว้ใจอารมณ์มากนัก มันเปรียบเหมือนเพื่อนที่อารมณ์แปรปรวนตลอด มีเคสนึงของผู้หญิงที่เผชิญปัญหาการหย่าร้างมาอย่างยาวนานและบ่อยครั้ง หลังจากที่เธอได้เปิดใจรับคนเข้ามาในชีวิต เธอได้เริ่มออกเดทและดูเหมือนสถานการณ์จะไปได้สวยสุด ๆ แต่สักพักหนึ่งที่กำลังนั่งดินเนอร์กันคู่เดทของเธอกลับปฏิเสธเธอแล้วเดินจากเธอไปอย่างเฉยเมย มันทำให้เธอเจ็บปวดมาก แล้วเธอก็ได้แค่ต่อว่าตัวเองด้วยการคิดว่าตัวเองไม่ดีพอต่าง ๆ นานา.

เราทุกคนมักจะต่อว่าตัวเองอยู่เสมอถ้าสิ่งที่เราทำนั้นล้มเหลวหรือถูกปฏิเสธมา จริงอยู่ที่มันดูแย่ในสายตาของคุณ “แต่ทำไมคุณต้องเพิ่มความเลวร้ายให้มันทวีคูณขึ้นไปอีกล่ะ” ก็เพราะเราซ้ำเติมตัวเองด้วยความขาดการตระหนักรู้เรื่องการดูแลจิตใจ เราไม่ได้ให้ความสำคัญกับจิตใจเท่าที่ควร มิหนำซ้ำถ้าเราปล่อยให้ปัญหาทางใจรุมกระหน่ำเรามากเท่าไร มันก็จะยิ่งใช้เวลานานกว่าจะฟื้นตัวขึ้นมา.

ปกป้องความพึงพอใจในตัวเอง (Protect your self-esteem)

4. การครุ่นคิด (Rumination)

มันคือการที่คุณคิดเรื่องนั้นวนไปวนมา หมกมุ่นกับมันทั้ง ๆ ที่เหตุการณ์นั้นผ่านมาอย่างนมนานแล้ว มันทำให้เป็นสาเหตุของความเครียดในร่างกายสูงมากขึ้น อาการติดแอลกอฮอล์และกินอาหารที่ผิดปกติ รวมถึงโรคหลอดเลือดหัวใจก็เป็นได้ ยิ่งมีพฤติกรรมเหล่านี้มันก็จะยิ่งมีผลกระทบต่อร่างกายตามไปด้วย.

เรื่องที่ดึงความสนใจมีเพียงแค่ 2 นาที เพื่อให้เราหลุดออกจากการครุ่นคิดเรื่องต่าง ๆ สามารถแก้ด้วยการโฟกัสกับสิ่งอื่นแล้วคิดว่าสิ่งนี้มีความหมายกว่าสิ่งที่เรากำลังครุ่นคิดอยู่ ถ้าคุณนำมาใช้บ่อย ๆ ก็จะทำให้สุขภาพทางจิตใจดีขึ้นอย่างแน่นอน.

ต่อกรกับความคิดลบ (Battle negative thinking)

ถ้าทุกคนมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นได้จริง ๆ มันทำให้ทุกคนมีความสุขมากขึ้นตามไปด้วย เพียงแค่เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนมุมมอง และเปลี่ยนนิสัยบางนิสัยที่มันทำให้ก่อเกิดปัญหาต่อสุขภาพระยะยาว แล้วโลกของเราทุกคนก็จะน่าอยู่มากยิ่งขึ้น.