ทุกสิ่งที่คุณรู้เกี่ยวกับการเสพติดนั้นผิด

ทุกสิ่งที่คุณรู้เกี่ยวกับการเสพติดนั้นผิด

ความคิดเห็นต่อการบรรยาย

Hari พูดถึงตอนที่เขายังเป็นเด็ก เขาไม่รู้ว่าญาติเขานอนหลับแน่นิ่งไปเพราะอะไร ซึ่งเขาก็ยังไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่ แต่หลังจากที่เขาโตขึ้นก็ได้รู้ว่าเป็นเพราะครอบครัวของเขาได้ติดยาเสพติด รวมถึงก็ได้รู้ทีหลังว่าญาติเขาตายด้วยยาเสพติดชนิดโคเคน.

ตั้งแต่ที่เริ่มมีการห้ามใช้ยาเสพติดอย่างจริงจังไม่ว่าจะเป็นที่อเมริกา และในอังกฤษ ต่อมาก็ได้มีการห้ามใช้ทั่วโลก เราทุกคนได้ลงโทษผู้ที่เสพยาสารพัดอย่าง และทำให้พวกเขาทุกข์ทรมานพร้อมกับไม่ได้อธิบายอย่างชัดเจนถึงสาเหตุที่แท้จริง เพราะว่าเราเชื่อมั่นในการกระทำนี้ว่า ยิ่งเราห้ามปรามพวกเขามากเท่าไร พวกเขาก็จะยิ่งมีแรงจูงใจในหยุดการเสพยามากเท่านั้น.

เมื่อไม่นานมานี้เขาได้เห็นคนที่ติดยาเสพติด และรู้สึกว่าจะพอมีหนทางใดบ้างที่ช่วยเหลือพวกเขาได้ มันมีคำถามบางอย่างที่เรามองข้ามไป เช่น “เพราะอะไรเขาถึงติดยาเสพติด” หรือ “ทำไมเราถึงทำสิ่งนี้ทั้งที่มันดูเหมือนจะไม่ได้ผลกับพวกเขา และมันน่าจะมีทางออกที่ดีกว่านี้ ดังนั้นเราควรจะลองใช้กับพวกเขาดู”.

ยิ่งเขาคิดสงสัยต่อคำถามมากเท่าไรก็ยิ่งหาคำตอบไม่ได้ หลังจากนั้นเขาก็ได้เริ่มต้นที่จะค้นคว้าหาคำตอบ โดยการไปถามผู้ที่ได้ทำการศึกษาเรื่องเกี่ยวกับการเสพติดทั้งหมด บ้างก็ไปถามคนแปลงเพศที่ค้าสารโคเคนแถวละแวก Brownsville, Brooklyn จนไปถึงถามนักวิทยาศาสตร์ที่ได้ทำการทดลอง โดยการใส่ยาหลอนประสาทกับพังพอน รวมถึงเขาก็ได้ไปประเทศที่ยาเสพติดผิดกฎหมายตั้งแต่กัญชาไปจนถึงโคเคนนั่นคือประเทศ Portugal.

เขามีความเชื่อว่าทุกสิ่งที่คุณรู้เกี่ยวกับการเสพติดนั้นผิด และถ้าคุณได้เรียนรู้ชุดความรู้ใหม่ของการเสพติดแล้ว คุณก็จะเปลี่ยนความคิดต่อเรื่องนี้เช่นเดียวกัน.

เขาได้ตั้งสมมติฐานว่า ถ้ามีคนในห้องนี้ได้รับสารเฮโรอีนเป็นเวลา 20 วัน โดยทุกครั้งที่ได้รับสารเข้าไปก็จะรู้สึกว่าคุณต้องการมันเพิ่มขึ้นอีก แต่นั่นไม่ใช่ความจริงทั้งหมด และถ้าเขาได้ออกจากการสัมมนาในครั้งนี้ไป แล้วปรากฏว่าโดนรถชนมีผลทำให้สะโพกหัก หลังจากนั้นพยาบาลจะฉีด Diamorphine จำนวนมากเข้าไปในร่างกาย ซึ่งเป็นอีกชื่อเรียกของเฮโรอีน แต่มันไม่เหมือนกับเฮโรอีนตามท้องตลาดก็เพราะมันคือเฮโรอีนบริสุทธิ์ ถ้าทุกคนคิดว่าคนที่ได้รับบาดเจ็บที่สะโพกจะต้องติดยาเสพติด แบบนี้ก็หมายความว่าถ้ายายของคุณเกิดมีปัญหาเกี่ยวกับสะโพกแล้วได้รับสารนี้เข้าไป ยายคุณก็ต้องเป็นคนติดยาเหมือนกันแน่ ๆ.

Bruce K. Alexander เป็นนักจิตวิทยาใน Vancouver ที่รวบรวมข้อมูลที่น่าทึ่งหลายผลงานด้วยกัน และข้อมูลต่อไปนี้จะทำให้เขาเข้าใจถึงปัญหาที่เกิดขึ้นได้ มันก็เหมือนกับที่ทุกคนเข้าใจกันอยู่แล้วเกี่ยวกับการเสพติดในยุค 20th Century คือคุณสามารถนำสิ่งที่ได้อธิบายหลังจากนี้ไปทดลองได้ แต่มันอาจจะดูซาดิสม์ไปหน่อย ก็คือให้คุณนำหนูมาใส่ในกรง แล้วนำน้ำ 2 ขวด ใส่เข้าไปในกรงนั้นโดยที่ ขวดแรกเป็นแค่น้ำเปล่าแต่อีกขวดให้ผสมเฮโรอีนหรือโคเคนเข้าไปด้วย แล้วผลลัพธ์ต่อมาก็คือหนูนั้นจะไปกินน้ำขวดที่ 2 ตลอดเวลา และมันก็จะตายไปอย่างรวดเร็ว.

ก่อนหน้านั้นมีการทดลองของ Bruce K. Alexander แล้วการทดลองนี้คือ ถ้าเราใส่หนูไว้ในกรงเปล่า ซึ่งมันไม่มีอะไรให้มันทำเลยนอกจากได้เสพยาเสพติด หลังจากนั้นก็ได้มีไอเดียขึ้นมาว่า ลองสร้างกรงหนูที่เป็นเหมือนสวรรค์ให้กับมัน ในนั้นจะมีชีสเต็มไปหมด มีลูกบอลสีสัน มีท่อที่เชื่อมต่อกันเต็มไปหมด และสำคัญอย่างยิ่งต้องมีหนูตัวอื่นด้วย เพื่อมันจะได้ผสมพันธุ์กัน ต่อมาก็ได้นำน้ำ 2 ขวดใส่เข้าไปเหมือนตอนแรกที่เขาได้อธิบายไว้ ผลปรากฏว่าหนูเหล่านั้นไม่มีการกินน้ำที่ผสมยาเสพติดเลยแม้แต่น้อย ก็เพราะพวกมันมีแรงจูงใจอื่นมากกว่าการที่จะต้องไปกินน้ำที่ผสมยาเสพติด.

เขาบอกว่าคุณอาจจะไม่เชื่อก็ได้ว่าการทดลองของหนูจะมีความเกี่ยวข้องกับมนุษย์ แต่เขาอธิบายต่อ ว่ามีเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกับการทดลองนี้ก็คือ Vietnam War ซึ่งในขณะที่มีสงครามเกิดขึ้นกองกำลังของอเมริกันกว่า 20% ใช้เฮโรอีนเพื่อบำบัดความทุกข์ทรมาน แต่แล้วทำไมคนติดยาถึงเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว ทั้ง ๆ ที่ในยุคนี้ไม่มีแม้แต่สงครามด้วยซ้ำ และสิ่งที่น่าทึ่งต่อมาคือ กองกำลังของอเมริกันกว่า 95% ไม่เสพยาหลังจากกลับมาจากสงคราม เรื่องนี้กำลังสื่อให้เห็นว่า ที่พวกเขาไม่ติดยาเสพติดก็เพราะได้เชื่อมต่อความสัมพันธ์กับครอบครัว ได้รับสิ่งที่รอคอยมาตลอด พอได้เจอหน้าครอบครัวก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งยาเสพติดอีกต่อไป.

คำถามที่เราควรถามคือ “ถ้าเกิดว่ายาเสพติดไม่ได้ทำให้เกิดการต้องการยาเพิ่มขึ้นมาล่ะ” “ถ้าเกิดว่ายาเสพติดมันคล้ายกับคุณไปไหนไม่ได้ล่ะ” หรือ “ถ้าเกิดว่ายาเสพติดมันคือการปรับตัวของสภาพแวดล้อมแค่นั้นล่ะ”.

Peter Cohen ที่เป็นนักวิจัยเกี่ยวกับเรื่องยาเสพติดในประเทศ Netherlands ได้กล่าวไว้ว่า “บางทีเราไม่ควรเรียกว่ายาเสพติด แต่เราควรเรียกว่ายาเพิ่มสายสัมพันธ์” ซึ่งโดยพื้นฐานสิ่งมีชีวิตต้องการความสลักสำคัญโดยการมีสายสัมพันธ์อยู่แล้ว ทุกคนล้วนต้องการเชื่อมต่อกับผู้คน สิ่งต่าง ๆ รอบตัว มันทำให้พวกเขารู้สึกมีตัวตนขึ้นมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นการพนัน เซ็กซ์ กัญชา หรืออะไรก็ตาม.

ทุกคนในที่นี้สามารถที่จะซื้อ Vodka กันได้อยู่แล้ว แล้วถ้าให้ทุกคนลองดื่มทุกวัน พวกคุณจะทำแบบนั้นไหม และต่อให้ซื้อทุกวันเป็นระยะเวลา 6 เดือนติดต่อกันนี้ก็ตาม การซื้อเหล้าก็จะไม่ทำให้คุณเป็นคนจนไปหรอก ทว่า การที่ทุกคนในที่นี้ไม่ได้ดื่ม ก็เป็นเพียงเพราะเหตุผลว่า พวกคุณมีสายสัมพันธ์ พวกคุณมีคนสำคัญที่เชื่อมต่อกับคุณได้ ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลหลักที่เราไม่จำเป็นต้องใช้ที่พึ่งอื่น.

แกนหลักของการเสพติดคืออะไร และเขาคิดว่ามันคือทั้งหมดทั้งมวลของข้อมูลที่ได้ค้นคว้ามา “มันคือการที่คุณไม่สามารถแบกรับสิ่งที่เป็นอยู่ ณ ตอนนี้ได้”.

ที่ Arizona เขาได้ไปพร้อมกับผู้หญิงกลุ่มหนึ่งพร้อมกับใส่เสื้อที่เขียนว่า “ฉันติดยาเสพติด” ซึ่งคนเหล่านี้จะไม่สามารถได้รับโอกาสในการทำงานที่บริษัทอีกต่อไป เพราะประวัติการติดยาทำให้ทุกคนไม่ได้ให้โอกาสพวกเขาเพียงพอ ซึ่งเขามองว่าการกระทำนี้อาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีก็ได้.

Gabor Maté เป็นหมอในประเทศ Canada ซึ่งเป็นคนที่น่าทึ่งมากอีกคนหนึ่ง และได้กล่าวไว้ว่า “ถ้าคุณต้องการสร้างระบบที่ทำให้การเสพติดนั้นเลวร้ายลงไปกว่าเดิม คุณควรจะเป็นคนสร้างระบบขึ้นมา” ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้เป็นแบบนั้นทั้งหมด.

ก็ในปี 2000 ประเทศ Portugal ได้ประสบกับปัญหายาเสพติดที่เลวร้ายมากที่สุดในยุโรป และ 1% ของประชากรทั้งหมดในประเทศนั้นติดยาเสพติด พวกเขาก่นด่า และประณามคนที่ติดยาเสพติดเหล่านั้น และมันก็นำมาซึ่งผลพวงที่เลวร้ายลงทุกปี หลังจากนั้นนายกรัฐมนตรีก็ได้มีมาตรการอย่างเด็ดขาดในเรื่องของคนติดยาเสพติดที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น.

โดยมีหมอที่ชื่อว่า João Castel-Branco Goulão ได้เป็นคนริเริ่มการปรับเปลี่ยนโครงสร้างสังคมใหม่ทั้งหมดโดยอย่างแรกเลยคือ หยุดให้มีสารเสพติดทุกประเภทตั้งแต่กัญชาไปจนถึงโคเคน และนำเงินทั้งหมดมาทุ่มกับการสร้างสภาพแวดล้อมให้ดีมากขึ้น ไม่ว่าจะการเป็นสร้างสายสัมพันธ์ในสังคม และหยิบยื่นโอกาสให้นายจ้างได้จ้างคนที่เคยมีประวัติการติดยาเสพติดมาก่อน ซึ่งผลลัพธ์ออกมาอย่างดีเยี่ยม โดยอ้างอิงจาก British Journal of Criminology ระบุไว้ว่า คนเลิกติดยามากกว่า 50% รวมถึงคนที่เสพยาเกินขนาด HIV และการเสพติดในทุกแขนงได้ลดลงอย่างมหาศาล.

การที่นำบริบทของการเชื่อมต่อกันและกันอย่างแท้จริง ก็เป็นส่วนช่วยให้คนรู้สึกค้นพบว่าพวกเขายังมีความหมายต่อผู้อื่นอยู่เช่นกัน ทุกคนที่มีปัญหาในชีวิตคงไม่ได้นึกถึงคนในโซเชียลมีเดีย แต่กลับนึกถึงคนที่มีสายสัมพันธ์กับเรา รวมถึงมีความผูกพันกับเราด้วย.

Bill McKibben ซึ่งเป็นนักสิ่งแวดล้อมได้กล่าวไว้ว่า “คนอเมริกันส่วนใหญ่เวลามีปัญหาสามารถที่จะปรึกษาหารือกับคนใกล้ชิดได้นั้น ลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 1950 และจำนวนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องคือพื้นที่ของการอยู่คนเดียวในบ้าน” ซึ่งสิ่งที่กล่าวมาเป็นสิ่งชี้ชัดว่า ถึงแม้เราจะให้พื้นที่กับเพื่อนมากแค่ไหน และถึงแม้เราจะให้พื้นที่กับความสัมพันธ์เพียงใด ผลสุดท้ายแล้วเรากลับได้ความเหงา และความโดดเดี่ยวกลับมาตลอด.

เขาได้สนทนากับ Bruce K. Alexander อยู่บ่อยครั้งในเรื่องของการจะเยียวยาคนที่ติดยาเสพติดได้อย่างไร และมันก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องอยู่แล้วถ้าเราพูดถึงระดับปัจเจก แต่ถ้าเราพูดถึงระดับกลุ่มชนล่ะ ในการที่จะไปเปลี่ยนระดับสังคมไม่ใช่สิ่งที่มันจะเปลี่ยนได้โดยง่าย ก็เพราะทุกคนต้องร่วมแรงร่วมใจกัน ไม่ใช่ว่าใครคนใดคนหนึ่ง แต่จำเป็นต้องใช้ทุกภาคส่วน.

สิ่งหนึ่งที่เราควรมอบให้กับคนติดยาเสพติดก็คือพื้นที่ในสังคม ให้พวกเขาได้ยืนหยัดและต่อสู้ไปด้วยกัน รวมถึงเราทุกคนก็ควรที่จะหยิบยื่นโอกาสเหล่านั้นด้วยการให้โอกาส ให้อภัย และให้ความเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน ให้ใช้ความรู้สึกที่มีต่อพวกเขาอย่างแท้จริงมากที่สุด บอกกับพวกเขาว่า “ถ้าคุณต้องการฉัน คุณสามารถที่จะบอกฉันได้เสมอนะ” และ “ฉันอยู่ตรงนี้เสมอ ฉันรักคุณนะ และฉันจะไม่ทิ้งคุณไปไหน”.

แกนหลักของข้อความที่เราสามารถส่งไปได้ก็คือ “คุณไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะ เรารักคุณ” ให้ส่งความรู้สึกนี้สู่คนทุกชนชั้นในสังคม และมากกว่า 100 ปี ที่เราร้องเพลงสงครามการเสพติดส่งไปให้พวกเขา แต่ให้ลองเปลี่ยนเป็นส่งเพลงรักไปให้พวกเขาแทน สุดท้ายนี้สิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับการเสพติดไม่ใช่ความสงบเสงี่ยม แต่สิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับการเสพติดคือการเชื่อมต่อซึ่งกันและกัน.

ความสัมพันธ์เป็นสิ่งที่สำคัญในชีวิต เราทุกคนจำเป็นต้องหาความสัมพันธ์ให้เจอ

Johann Hari

สามารถซื้อหนังสือได้ที่

Amazon
Books Kinokuniya