เมื่อมีความคิดเกี่ยวกับเซ็กซ์

เมื่อมีความคิดเกี่ยวกับเซ็กส์

ความคิดเห็นต่อการบรรยาย

เมื่อตอนที่ Matt Ridley ยังเป็นนักเรียนอยู่ที่ Oxford ในปี 1970s เขามองว่าอนาคตของโลกใบนี้นั้นค่อนข้างจะมืดมน ประชากรที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เคยถูกหยุดยั้งเอาไว้ได้ ผู้หญิงทั่วโลกนั้นก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ รวมถึงการระบาดของโรคมะเร็งก็มีสาเหตุหลัก ๆ มาจากเคมีในสภาพแวดล้อม ส่งผลให้เรามีอายุขัยที่สั้นลง ฝนกรดก็ตกลงมายังป่าไม้ และทะเลทรายก็ไปไกลกว่าเดิมมากกว่าไมล์หรือสองปีมานี้ แถมน้ำมันก็ค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ และนิวเคลียร์ในฤดูหนาวก็จะทำให้เราถูกยุติลง.

สิ่งเหล่านั้นมันยังไม่เกิดขึ้นจริงและสิ่งที่น่าทึ่งไปกว่านั้นคือ ถ้าคุณมองดูว่าอะไรเกิดขึ้นมาจริง ๆ ในชีวิตของเขาก็คือ ค่าเฉลี่ยรายได้ต่อหัวของค่าเฉลี่ยผู้คนทั่วโลก ในบริบทตามความเป็นจริง และแบบปรับอัตราเงินเฟ้อด้วย จะมีค่าเฉลี่ยสูงขึ้นถึง 3 เท่า อายุขัยนั้นมากขึ้นถึง 30% ของอายุขัยทั้งหมด อัตราการตายของเด็กแรกเกิดนั้นลดลงถึง 2 ใน 3 และการผลิตอาหารโดยค่าเฉลี่ยต่อหัวนั้นก็มากขึ้นถึง 3 เท่าเช่นกัน.

ประชากรทั้งหมดในตอนนี้ก็ได้เพิ่มขึ้นมาเป็น 2 เท่า เขาเลยตั้งคำถามว่า “เราสามารถบรรลุจุดมุ่งหมายนั้นได้อย่างไร แล้วคุณคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่” มนุษย์เป็นสายพันธุ์เดียวที่มีการเติบโตของประชากรอย่างมหาศาล เขาคิดว่าการที่จะตอบคำถามนี้ได้ คุณต้องเข้าใจว่ามนุษย์ทำอย่างไรให้สมองนั้นเชื่อมโยงกันได้ และสามารถรวมกันและหลอมรวมใหม่ได้อีกเรื่อย ๆ เพื่อที่จะพบเจอกันแล้วก็อยู่ร่วมกัน อีกอย่างหนึ่งคือ คุณต้องเข้าใจเรื่องการมีความคิดเกี่ยวกับเซ็กซ์.

เขาต้องการให้คุณจินตนาการดูว่า การที่เราจะสร้างวัตถุนี้ขึ้นมาแล้วเราก็สร้างอีกวัตถุนึงขึ้นมา ทั้งสองวัตถุนี้เป็นของจริง อันแรกคือ Acheulean hand axe ที่มีอายุมายาวนานกว่าครึ่งล้านปีก่อน แล้วสายพันธุ์ที่สร้างมันขึ้นมาคือ Homo erectus แล้วอันที่สองคือ เมาส์คอมพิวเตอร์ พวกมันมีขนาดที่เท่ากันอย่างสมมาตรและมีรูปทรงที่น่าประหลาดใจ เขาจึงพยายามหาคำตอบที่มันยิ่งใหญ่กว่านี้ และมันก็เกือบที่จะเป็นไปไม่ได้.

ทว่า มันไม่ใช่เพราะวัตถุสองสิ่งที่พอดีกับมือมนุษย์เท่านั้น แต่ทั้งคู่นั้นคือเทคโนโลยี ในท้ายที่สุดความคล้ายคลึงกันก็ไม่ได้เพิ่มความน่าสนใจขึ้นมา แล้วความแตกต่างกันนั่นแหละที่ทำให้เขาสนใจมันขึ้นมามากขึ้นไปอีก ก็เพราะว่าวัตถุอันแรกสร้างอย่างเรียบง่ายโดยมีอายุมากกว่าหนึ่งล้านปีมาแล้ว จากหนึ่งและครึ่งล้านปีก่อนไปยังครึ่งล้านปีก่อนหน้านี้ Homo erectus ได้สร้างเครื่องมือเหมือนกันนี้ขึ้นมาให้กับคน 30,000 กว่ารุ่น แต่ว่าเครื่องมือนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงช้ากว่าโครงกระดูกแล้วในตอนนี้.

มันไม่มีแม้กระทั่งความก้าวหน้าใด ๆ ไม่มีแม้แต่นวัตกรรมใหม่ ๆ มันคือเหตุการณ์ที่มหัศจรรย์แต่มันก็คือความจริง เว้นแต่ว่าวัตถุทางด้านขวาจะเป็นสิ่งที่ล้าสมัยหลังจาก 5 ปีไปแล้วเท่านั้นเอง แล้วอีกความแตกต่างหนึ่งคือ วัตถุทางด้านซ้ายสร้างจากวัสดุอย่างเดียวแต่วัตถุทางด้านขวาสร้างจากหลายหลายวัสดุเข้าด้วยกัน เช่น ซิลิคอน โลหะ และพลาสติก รวมถึงอีกมากมาย.

แล้วสิ่งที่มากไปกว่านั้น มันเป็นการหลอมรวมไอเดียที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นไอเดียของพลาสติก ไอเดียของเลเซอร์ และไอเดียของทรานซิสเตอร์ พวกเขานั้นได้ผนวกเข้าด้วยกันเพื่อที่จะเรียกว่าเทคโนโลยี แล้วการหลอมรวมนี้ก็เป็นการสะสมของเทคโนโลยี นั่นทำให้เกิดอุบายขึ้นกับเขา เพราะว่าเขาคิดว่ามันคือความลับของความเข้าใจที่จะมีอะไรเกิดขึ้นกับโลกใบนี้บ้าง.

ร่างกายของเขาก็คือการสะสมของไอเดียเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นไอเดียของเซลล์ผิวหนัง ไอเดียของเซลล์สมอง และไอเดียของเซลล์ตับ พวกมันมาพร้อม ๆ กัน แล้วการวิวัฒนาการจะทำการสะสมแล้วหลอมรวมสิ่ง ๆ นั้นได้อย่างไรกันล่ะ ก็คือมันถูกใช้โดยการขยายเผ่าพันธุ์ด้วยการสืบพันธุ์ ในสายพันธุ์แบบไร้เพศ ถ้าคุณนำความแตกต่างของทั้งสองนี้ให้กลายพันธุ์เป็นความแตกต่างของสิ่งมีชีวิต โดยมีทั้งสีเขียวและสีแดง ต่อมาจะมีเพียงหนึ่งเดียวที่ดีกว่าสิ่งอื่น แล้วสิ่งนั้นเองก็จะต้องสูญพันธุ์ไปเพื่อให้อีกสิ่งหนึ่งมีชีวิตรอดต่อ.

จากนั้นมันจะเป็นไปได้ไหมสำหรับปัจเจกชน ที่จะสืบทอดการกลายพันธุ์ของทั้งสองนี้เข้าด้วยกัน จากความแตกต่างทางด้านเชื้อสาย แล้วเซ็กซ์ก็ทำหน้าที่เป็นประตูไปสู่ปัจเจกชนเพื่อที่จะวาดภาพตามไปด้วย ซึ่งเป็นนวัตกรรมของสายพันธุ์แบบทั้งหมดทั้งมวลแล้วมันจะไม่สามารถถูกกักขังโดยเชื้อสายเดียวได้อีกต่อไป.

แล้วอะไรคือกระบวนการที่จะทำให้ผลลัพธ์มันออกมาเหมือนกับในการวิวัฒนาการของวัฒนธรรมล่ะ เปรียบเทียบกับเซ็กซ์ว่ามันคือการวิวัฒนาการทางชีวภาพ และเขาคิดว่าคำตอบนี้ถูกสับเปลี่ยนไป นิสัยของการแลกเปลี่ยนจากสิ่งหนึ่งไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง มันคือความเป็นเอกลักษณ์ในคุณสมบัติมนุษย์ ไม่มีสัตว์อื่นทำได้แบบนี้ที่คุณจะสามารถสอนมนุษย์ในห้องทดลองเพื่อที่จะสร้างการแลกเปลี่ยนเพียงเล็กน้อย แล้วยิ่งไปกว่านั้นคือการมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันในสัตว์อื่น แต่การแลกเปลี่ยนจากวัตถุที่หนึ่งไปยังอีกวัตถุนึงย่อมไม่มีทางเกิดขึ้นมาได้.

เหมือนดั่งที่ Adam Smith ได้กล่าวไว้ว่า “ไม่มีชายคนใดเคยเห็นสุนัขแล้วสร้างการแลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรมด้วยกระดูกของสุนัขตัวอื่นหรอก” คุณสามารถมีวัฒนธรรมได้โดยไม่ต้องแลกเปลี่ยนกัน แล้วคุณสามารถมีมันได้เลย อย่างที่คุณต้องการก็คือวัฒนธรรมแบบไร้เพศ ลิงชิมแปนซี และวาฬเพชฌฆาต เผ่าพันธุ์เหล่านี้ก็เป็นสิ่งมีชีวิต พวกมันมีวัฒนธรรม พวกมันสอนกันผ่านขนบธรรมเนียมประเพณีว่า เมื่อใดก็ตามที่วางมือลงจากบรรพบุรุษไปสู่ลูกหลาน แล้วในกรณีนี้ลิงชิมแปนซีก็ได้สอนกันและกันในการกะเทาะถั่วด้วยหินอีกด้วย.

แต่ความแตกต่างคือ วัฒนธรรมเหล่านี้ไม่ได้ถูกขยายออก มันไม่เติบโตอีกเลย มันไม่ถูกสะสมอะไรทั้งนั้น รวมถึงมันไม่เคยหลอมรวมกัน แล้วเหตุผลก็เพราะว่า มันไม่ได้มีเซ็กซ์กันอย่างที่ควรจะเป็น มันไม่มีการแลกเปลี่ยนทางความคิด ลิงชิมแปนซีมีกองกำลังวัฒนธรรมที่แตกต่างจากกองกำลังอื่น ๆ เพราะว่ามันไม่มีการแลกเปลี่ยนของไอเดียระหว่างกันและกัน.

แล้วทำไมการแลกเปลี่ยนจึงสามารถยกระดับความเป็นอยู่ได้ล่ะ แล้วคำตอบก็มาจาก David Ricardo และแม้ว่าชายคนนี้จะบอกในบริบทของการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศว่า Adam ใช้เวลา 4 ชั่วโมงในการสร้างหอก และใช้เวลา 3 ชั่วโมงในการสร้างขวาน Oz ใช้เวลา 1 ชั่วโมงในการสร้างหอก และใช้เวลา 2 ชั่วโมงในการสร้างขวาน กระนั้น Oz จึงมีความสามารถในการสร้างหอกและขวานมากกว่า Adam ซึ่งชายคนนี้จึงไม่จำเป็นที่จะต้องการ Adam ก็เพราะว่าเขาสามารถสร้างหอกและขวานได้ด้วยตัวเอง.

แล้วถ้าคุณคิดเกี่ยวกับสิ่งนี้ล่ะ ถ้า Oz สร้างหอก 2 อัน และ Adam สร้างขวาน 2 อัน แล้วสร้างการแลกเปลี่ยนกัน ต่อมาพวกเขาจะสามารถประหยัดเวลาในการสร้างไปเกือบชั่วโมง และยิ่งพวกเขาทำสิ่งนี้ ก็จะยิ่งเป็นจริงอย่างที่มันควรจะเป็นไป เพราะว่ายิ่งพวกเขาทำแบบนี้ คนที่เก่งกว่า Adam จะสามารถสร้างขวานได้มากขึ้น และคนที่เก่งกว่า Oz จะสามารถสร้างหอกได้มากขึ้น และนี่คือหนึ่งในตัวอย่างของการแลกเปลี่ยนกันและกัน มันคือการสร้างการเคลื่อนไหวของวัตถุซึ่งกันและกันสำหรับการเพิ่มขีดความสามารถขึ้นไปอีก ด้วยการสร้างการเคลื่อนไหวสำหรับการแลกเปลี่ยนต่อ ๆ ไป.

Adam และ Oz จะประหยัดเวลาไปได้มากกว่าชั่วโมง มันคือความมั่งคั่งของการใช้เวลาในการสร้างความพึงพอใจต่อความต้องการ ให้คุณลองถามตัวเองว่า คุณใช้เวลาในการทำงานเท่าไรเพื่อให้แสงเทียนอยู่ได้โดยการอ่านหนังสือประมาณหนึ่งชั่วโมงตอนเวลาช่วงบ่าย ถ้าคุณพร้อมที่จะเริ่มต้นจากความอยาก ก็ต้องบอกว่าให้คุณออกจากตรงนี้ไปสู่ชนบท คุณจงหาแกะมา แล้วก็ฆ่ามันทิ้งซะ ต่อมาคุณก็เอาไขมันออกจากตัวมัน คุณเริ่มปฏิบัติแล้วก็สร้างเทียนขึ้นมา แล้วคุณจะใช้เวลาไปทั้งหมดเท่าไร ประมาณเท่าไร.

คุณจะใช้เวลาทำงานประมาณเท่าไรเพื่อที่จะให้แสงเทียนอยู่ได้ภายในหนึ่งชั่วโมง ถ้าคุณอยู่บนค่าจ้างเฉลี่ยในสหราชอาณาจักรในวันนี้ คำตอบก็คือครึ่งวินาที กลับไปในปี 1950 คุณจะต้องใช้เวลาในการทำงานถึง 8 วินาที บนค่าจ้างเฉลี่ยเพื่อที่จะได้รับแสงมากพอ และนั่นคือ 7 และอีกครึ่งวินาทีของความมั่งคั่งที่คุณจะได้รับของปี 1950 เพราะว่ามันจะทำให้คุณสามารถทำบางสิ่งได้ หรือได้รับสินค้าหรือบริการจากแหล่งอื่น.

ย้อนกลับไปที่ปี 1880 เราจะใช้เวลามากถึง 15 นาที ที่จะได้รับแสงเทียนบนค่าจ้างเฉลี่ย และกลับไปอีกที่ปี 1800 คุณต้องทำงานมากถึง 6 ชั่วโมงเพื่อที่จะได้รับแสงเทียนที่จะเผาไหม้ภายในหนึ่งชั่วโมงได้ อีกนัยหนึ่งคือค่าเฉลี่ยต่อคนบนค่าจ้างเฉลี่ยนั้นไม่สามารถซื้อได้ในปี 1800.

ย้อนกลับไปที่ภาพเดิมของขวานและเมาส์ และลองถามตัวคุณเองว่า “ใครสร้างมันขึ้นมาและสร้างเพื่อใคร” หินขวานถูกสร้างโดยบางคนเพื่อตัวเขาเอง มันคือการพึ่งพาตนเอง เราเรียกมันว่าความยากจนในวันนี้ แต่วัตถุทางขวาถูกสร้างมันเพื่อเขาโดยคนอื่น มันอาจจะเป็นจำนวนมากถึงล้านคน เพราะว่าคุณอาจจะเข้าร่วมกลุ่มที่เติบโตมากับกาแฟ แล้วคนที่ชงกาแฟก็คือคนที่เคยขุดเจาะน้ำมัน ซึ่งเป็นคนที่คอยขุดเจาะน้ำมัน ต่อมาก็กำลังสร้างพลาสติกต่อไป พวกเขาทำงานให้กับเขาอยู่ เพื่อที่จะสร้างเมาส์ให้กับเขา นั่นคือสิ่งที่ทำให้สังคมเป็นระบบขึ้นมาได้ นั่นคือสิ่งที่เราบรรลุผลในสายพันธุ์นี้.

ถ้าคุณเป็นคนรวยในอดีต คุณก็จะมีคนมาทำงานให้กับคุณ นั่นคือการที่คุณมีความร่ำรวย คุณจึงจ้างพวกเขามาทำงานให้ได้ Louis XIV ก็มีคนมากมายที่ทำงานให้ โดยหาคนที่ตัดเสื้อบ้าบอแบบนี้ขึ้นมา และก็จ้างคนมาทำทรงผมแปลก ๆ และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งเจ้าชายก็ได้มีคนมากถึง 498 คน ที่ต้องเตรียมสำรับอาหารค่ำให้ทุกค่ำคืน แต่นักท่องเที่ยวสมัยใหม่ตอนที่ได้เข้าไปยัง Palace of Versailles และมองดูรูป Louis XIV เจ้าชายก็ได้มีคนมากถึง 498 คนกำลังจัดเตรียมสำรับอาหารค่ำเช่นกัน พวกเขามีทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ และภัตตาคาร.

รวมถึงร้านค้าทั่วปารีส พวกเขาก็พร้อมที่จะให้บริการคุณภายในชั่วโมงด้วยอาหารจานเด็ด แล้วก็มักจะมีคุณภาพที่สูงตามมาด้วยเช่นกัน แล้วมากกว่า Louis XIV เคยได้มีอีกด้วย แล้วนั่นคือสิ่งที่เราได้ทำลงไป เพราะว่าเราร่วมแรงร่วมใจในการสร้างเพื่อคนอื่น เราสามารถวาดภาพความสามารถและแลกเปลี่ยนเพื่อที่จะยกระดับชีวิตขึ้นไปได้.

ณ ตอนนี้คุณคงนำสัตว์อื่น ๆ เพื่อมาทำงานให้กันและกัน มดนั้นมีตัวอย่างคลาสสิกอยู่คือ มดงานทำงานให้กับนางพญา และนางพญาก็ทำงานให้กับมดงาน แต่มันมีความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ ก็เพราะมันจะเกิดขึ้นเฉพาะอาณานิคมเท่านั้น มันไม่ได้ทำงานให้อาณานิคมอื่น ๆ และเหตุผลก็คือ พวกมันมีการแบ่งการเจริญพันธุ์ของแรงงาน มันมีความเชี่ยวชาญที่จะขยายเผ่าพันธุ์ซึ่งนางพญาทำหน้าที่นั้นทั้งหมด ซึ่งในเผ่าพันธุ์ของเรา เราก็ไม่ค่อยชอบที่จะทำแบบนั้น.

แล้วนั่นคือสิ่งเดียวที่เรายืนกรานที่จะทำเพื่อพวกเราเองก็คือ การสืบพันธุ์นั่นเอง แม้ในอังกฤษ เรามักจะไม่สามารถหลีกเว้นการสืบพันธุ์ต่อนางพญาได้ แล้วนิสัยนี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร แล้วมันต้องใช้ระยะเวลานานแค่ไหน และมันหมายถึงอะไรกันแน่ เขาคิดว่ามันน่าจะเป็นรุ่นที่เก่าแก่มาก ๆ ที่มันน่าจะเป็นเหมือนกับการแบ่งเพศของแรงงาน แต่เขาก็ไม่มีหลักฐานชี้ชัดคำถามนี้ มันคล้ายกับว่าเป็นสิ่งเดียวที่เราทำกันมาตลอดก็คือ ผู้ชายทำงานให้ผู้หญิง และผู้หญิงก็ทำงานให้ผู้ชาย.

นักล่าและนักรวบรวบข้อมูลในสังคม ณ ปัจจุบันนี้ มักจะเป็นในรูปแบบของการแบ่งการค้นหาของแรงงาน ไม่ว่าจะเป็นระหว่างหรือโดยรวม ผู้ชายที่เป็นนักล่าและผู้หญิงที่เป็นผู้รวบรวม มันไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไรนัก แต่มันคือความแตกต่างระหว่างความเชี่ยวชาญของบทบาททั้งเพศชายและเพศหญิง แล้วความสวยงามของระบบนี้คือ มันมีผลประโยชน์ทั้งสองฝั่งเลย ในกรณีผู้หญิงของกลุ่มชน Hadza ที่พยายามขุดหลุมเพื่อแบ่งปันอาหารกับผู้ชาย เธอรู้ว่านั่นคือสิ่งที่เธอสามารถทำได้เพื่อเข้าถึงโปรตีน มันคือการขุดหลุมเพื่อเอารากไปแลกกับเนื้อ และเธอก็ไม่ได้ไปออกล่าที่ไหนเลยเพื่อที่พยายามฆ่าหมู.

แล้วผู้ชายก็รู้ดีว่า การที่ไม่ได้ไปขุดหลุมเพื่อนำรากมา นั่นคือสิ่งที่เราต้องแน่ใจว่าเมื่อพวกเขาฆ่าหมู พวกเขาต้องได้อะไรที่สมน้ำสมเนื้อกลับคืนมาด้วย เมื่อทั้งสองสิ่งคอยช่วยยกระดับชีวิตขึ้นมาผ่านการแบ่งเพศของแรงงาน มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรก็ไม่มีใครสามารถตอบได้ เพราะว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เผ่าพันธุ์ Neanderthals ทำเลย พวกเขามีการทำงานเป็นส่วนรวมมากที่สุดในสายพันธุ์ แถมมีความเฉลียวฉลาดที่สุดในสายพันธุ์ด้วย สมองพวกเขาก็มีค่าเฉลี่ยที่ดีกว่า สุดท้ายแล้วสมองก็มีขนาดใหญ่กว่าทั้งคุณและเขาด้วยซ้ำไป.

พวกเขามีจินตนาการ พวกเขามีการฝังศพคนตาย พวกเขามีภาษา แล้วก็น่าจะเป็นแบบนั้น เพราะว่าเรารู้มาว่าพวกเขามี FOXP2 gene ที่คล้ายกับสายพันธุ์ของเรา ซึ่งนั่นก็ถูกค้นคว้าที่นี่ใน Oxford และดูเหมือนว่าน่าจะมีภาษาศาสตร์ด้วยเช่นกัน พวกเขาฉลาดมาก ซึ่งเขาก็ไม่ได้รังเกียจเผ่าพันธุ์ Neanderthals นะ แต่มันไม่มีหลักฐานอะไรเลยของการแบ่งเพศของแรงงาน ซึ่งไม่มีหลักฐานของการรวบรวมพฤติกรรมโดยเพศหญิง มันดูเหมือนกับว่าผู้หญิงจะเข้าร่วมการล่าไปพร้อมกับผู้ชายด้วย รวมถึงมันก็ไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่า มีการแลกเปลี่ยนกันระหว่างกลุ่ม เพราะว่าวัตถุที่คุณสามารถค้นหาได้ยังหลงเหลืออยู่ในเผ่าพันธุ์ Neanderthals เครื่องมือที่พวกเขาสร้าง ก็ถูกสร้างจากพื้นที่ละแวกนั้น.

ยกตัวอย่างเช่น ใน Caucasus มันคือพื้นที่ ที่คุณจะหาเครื่องมือของเผ่าพันธุ์ Neanderthals เจอ พวกเขามักจะสร้างจากหิน Chert ในพื้นที่ละแวกนั้น แล้วในหุบเขาเดียวกันมนุษย์ยุคใหม่ก็ยังคงเหมือนเดิม ตั้งแต่ 30,000 ปีก่อน และบางคนก็ยังค้นพบหิน Chert ในพื้นที่ละแวกนั้น แต่มากกว่าที่พวกเขาเคยสร้างมันมาอีก จากหิน Obsidian ที่มาจากหนทางอันยาวไกล และเมื่อมนุษย์ได้เริ่มต้นอุบัติขึ้นแล้วก็เริ่มเคลื่อนย้ายวัตถุไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง นี่คือหลักฐานว่าพวกเขาได้มีการแลกเปลี่ยนระหว่างกลุ่มกัน การแลกเปลี่ยนมีอายุมากกว่าการเพาะปลูกถึง 10 เท่า แต่ผู้คนก็มักหลงลืมกันไปและผู้คนมักคิดว่าการแลกเปลี่ยนนั้นมีมาเฉพาะยุคสมัยใหม่เท่านั้น.

การแลกเปลี่ยนระหว่างกลุ่มก็ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ สำหรับหนึ่งแสนปี และหลักฐานในยุคแรกเริ่มสำหรับการเก็บเกี่ยว บางทีก็มีอายุระหว่าง 80 และ 120,000 ปีก่อนในทวีป Africa เมื่อคุณเห็นหิน Obsidian และหิน Jasper และสิ่งอื่น ๆ ได้เคลื่อนย้ายไปไกล ในประเทศ Ethiopia คุณก็จะเห็นว่าเปลือกหอยที่ค้นคว้าโดยทีมที่ Oxford ได้เคลื่อนย้ายไปไกลถึง 125 ไมล์บนบกจาก Mediterranean ในประเทศ Algeria ซึ่งหลักฐานก็ชี้ชัดว่ามนุษย์เริ่มแลกเปลี่ยนระหว่างกลุ่มกัน และมันคือตัวนำไปสู่ความเชี่ยวชาญ.

คุณจะรู้ได้อย่างไรว่า มันเคลื่อนย้ายไปไกลจากการแลกเปลี่ยนมากกว่าการอพยพ คุณลองมองดูความทันสมัยของนักล่าและนักรวบรวมของชนพื้นเมืองว่า ใครเป็นคนเจาะหินขวาน ณ ที่แห่งหนึ่งที่เรียกว่า Mount Isa ซึ่งเป็นเหมืองที่ถูกครอบครองโดยชนเผ่า Kalkadoon พวกเขาได้แลกเปลี่ยนกันระหว่างเพื่อนบ้าน เช่น หนามปลากระเบน และส่งผลไปยังหินขวานอีกด้วย สิ้นสุดที่ส่วนหนึ่งของประเทศ Australia ซึ่งการเคลื่อนย้ายอันยาวไกลของเครื่องมือก็คือ สัญญาณของการแลกเปลี่ยนไม่ใช่การอพยพอย่างแน่นอน.

แล้วอะไรจะเกิดขึ้นถ้าคุณตัดขาดจากการแลกเปลี่ยน จากทักษะไปสู่การแลกเปลี่ยนและความเชี่ยวชาญ แล้วคำตอบก็คือ ไม่ใช่เพียงเพราะคุณทำให้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีช้าลงเท่านั้น แต่มันอาจจะหมายถึงการย้อนกลับไป ยกตัวอย่างเช่น ชาว Tasmania ที่เมื่อระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ต่อมาชาว Tasmania ก็ยึดพื้นที่นั้นเมื่อ 10,000 ปีก่อน ผู้คนในพื้นที่ไม่เพียงแค่มีประสบการณ์ที่ก้าวหน้าอย่างเชื่องช้ากว่าผู้คนในเมืองหลวง แต่พวกเขามีประสบการณ์ที่ถอยกลับ พวกเขาท้อถอยในการสร้างหินและการตกปลา รวมถึงการสร้างเสื้อผ้าด้วย เพราะว่าประชากรมีเพียงแค่ 4,000 คน มันค่อนข้างน้อยมากเมื่อเทียบกับเมืองหลวง แล้วความเชี่ยวชาญของทักษะก็มักจะเก็บความทันสมัยของเทคโนโลยีไว้ด้วย.

มันคล้ายกับว่าผู้คนในห้องนี้ได้ไปอยู่บนทะเลทราย จะมีอะไรในกระเป๋าเราบ้างที่สามารถทำให้เรามีชีวิตรอดหลังจาก 10,000 ปีต่อจากนี้ แล้วมันก็จะไม่เกิดขึ้นในเกาะ Tierra del Fuego ที่เกาะมีความคล้ายคลึงกัน มีผู้คนที่คล้ายคลึงกัน เหตุผลคือเกาะ Tierra del Fuego ได้ถูกแยกตัวออกจากอเมริกาใต้ โดยมีทางติดต่อที่แคบอย่างมากและมันคือการแลกเปลี่ยนระหว่างทางนั้นตลอดเวลา 10,000 ปีมานี้ที่เกาะ Tasmania ได้ถูกแยกขาดออกไป.

กลับมาที่รูปภาพหินขวาน ที่มีชายคนนึงสร้างมันขึ้นมาและรู้ว่าสร้างมันมาได้อย่างไร แต่ใครจะรู้การสร้างเมาส์คอมพิวเตอร์ล่ะ แล้วจะไม่มีใครรู้เลยว่าใครสร้างมันขึ้นมา ไม่มีใครรู้บนโลกใบนี้ว่าใครสร้างมันขึ้นมา เขาจริงจังกับคำตอบนี้มาก ก็ขนาดประธานบริษัทคอมพิวเตอร์ก็ไม่รู้เช่นเดียวกัน ประธานก็แค่รู้ว่าบริษัทจะดำเนินการไปได้อย่างไรบ้าง ผู้คนที่ชุมนุมกันก็ไม่มีทางรู้ได้ เพราะเขาไม่รู้วิธีการขุดเจาะน้ำมัน เพื่อที่จะนำน้ำมันมาสร้างพลาสติก เราทุกคนรู้เพียงแค่เล็กน้อย และไม่มีใครเลยที่รู้ทั้งหมด.

เขาจะอ้างอิงถึงประโยคหนึ่งที่เขียนโดย Leonard Read นักเศรษฐศาสตร์ในยุค 1950s ที่เขียนไว้ว่า “ฉัน ดินสอ” ซึ่งชายผู้นี้เขียนเกี่ยวกับดินสอที่ใครเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา และทำไมถึงไม่มีใครรู้เลยว่าดินสอนี้สร้างขึ้นมาจากสิ่งใด เพราะว่าผู้คนที่ชุมนุมกันไม่รู้เรื่องการขุดเหมืองแร่ Graphite และพวกเขาไม่รู้ว่าตกต้นไม้มาได้อย่างไร และอะไรที่เราทำกันในสังคม ผ่านการแลกเปลี่ยนและความเชี่ยวชาญ เราสร้างทักษะเพื่อที่จะทำบางสิ่งที่เราไม่เข้าใจมัน มันไม่ใช่ภาษาเดียวกัน มันคือภาษาที่จะเคลื่อนย้ายไอเดียว่าเราเข้าใจซึ่งกันและกันมากน้อยเพียงใด แต่กับเทคโนโลยีนั้น เราสามารถทำบางสิ่งให้ยิ่งกว่าศักยภาพที่เรามีได้.

เราห่างไกลศักยภาพของจิตใจมนุษย์ที่เรามีอย่างมหาศาล อย่างไรก็ตาม นั่นคือหนึ่งเหตุผลที่เขาไม่ค่อยที่จะสนใจในการถกเถียงเกี่ยวกับ I.Q. ว่าถ้าเกิดมีคนบางกลุ่มมี I.Q. ที่สูงกว่าอีกกลุ่ม มันไม่มีความเชื่อมโยงกันอย่างสิ้นเชิง อะไรที่มีความเชื่อมโยงระหว่างสังคมนั้นก็คือ ผู้คนจะสื่อสารกันอย่างไรผ่านไอเดีย และจะรวมกลุ่มกันอย่างดีเยี่ยมได้อย่างไร ซึ่งมันไม่ใช่ความเฉลียวฉลาดของปัจเจกชน.

ซึ่งพวกเรานั้นสร้างบางสิ่งที่เรียกว่า การรวบรวมสมองขึ้นมา เราแค่สร้างปม Neurons ขึ้นมาภายในสมอง มันจะเป็นการสับเปลี่ยนกันของไอเดีย คล้ายกับการพบปะและอยู่ร่วมกันของไอเดียนั้น ๆ นั่นจะทำให้เป็นสาเหตุของการก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้อย่างทีละเล็กทีละน้อย อย่างไรก็ตาม เมื่อมีสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้น แล้วในอนาคตที่เรานั้นมองไปได้ เราจะทำมัน อย่างประสบการณ์ที่เลวร้ายที่เราประสบกันเหมือนกับสงคราม ความตกต่ำ ภัยทางธรรมชาติ ความสยดสยองจะเกิดขึ้นในยุคศตวรรษนี้อย่างแน่นอน เขามั่นใจอย่างยิ่ง.

แต่เขาก็มั่นใจเหมือนกันว่า เพียงเพราะการเชื่อมต่อของผู้คนได้เริ่มสร้างขึ้นมาและทักษะของไอเดียที่พบปะและอยู่ร่วมกันอย่างที่มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เขามั่นใจว่าเทคโนโลยีจะก้าวหน้าไปอย่างมาก และเพราะฉะนั้นการยกระดับชีวิตก็ย่อมก้าวหน้าตามไปด้วยเช่นกัน เพราะว่ามันเริ่มต้นจาก Cloud ไปสู่ Crowdsourcing ไปยังด้านล่างสู่ด้านบนที่โลกนี้ได้สร้างมันขึ้นมา มันไม่เพียงเพราะคนที่เป็นหัวกะทิเท่านั้น แต่มันคือพวกเราทุกคนที่เราจะสามารถมีไอเดีย และสร้างมันเพื่อเป็นพบปะกันและอยู่ร่วมกัน เรามั่นใจในอัตราเร่งของนวัตกรรมอย่างยิ่ง.

การสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ อาจจะไม่ได้มาจากความเป็นอยู่เดิม แต่อาจจะหมายถึงการสร้างความสัมพันธ์ที่ต่อยอดไอเดียไปได้

Matt Ridley