ทำไมอายุ 30 ถึงไม่ได้ต่างจากอายุ 20 เลย

ทำไมอายุ 30 ถึงไม่ได้ต่างจากอายุ 20 เลย

ความคิดเห็นต่อการบรรยาย

Jay ได้เล่าว่าตอนช่วงอายุ 20 กว่า ๆ เธอได้รักษาคนไข้ด้วยการจิตบำบัดอยู่ ซึ่งตอนนั้นเธอก็ได้เรียนในระดับปริญญาเอก สาขาจิตวิทยาคลินิก ที่ Berkeley คนไข้เป็นผู้หญิงอายุ 26 ปี ชื่อว่า Alex ต่อจากนั้นก็มาเข้ารักษาขั้นแรกโดยเดินมาพร้อมกับสวมกางเกงยีน และก็ใส่เสื้อโคร่ง ๆ หลังจากนั้นก็เข้ามานั่งที่ออฟฟิศของเธอ และก็ถอดรองเท้าออก เพื่อจะมาคุยกันเรื่องปัญหาเกี่ยวกับผู้ชาย.

ตอนที่เธอได้ยินคำนี้ เธอรู้สึกโล่งใจมาก ๆ ก็เพราะเพื่อนร่วมชั้นของเธอได้เคสคนวางเพลิงเป็นคนไข้คนแรก แต่กลับกันเธอได้คุยกับผู้หญิงอายุ 20 กว่า ๆ ที่อยากจะคุยเรื่องผู้ชาย ซึ่งเธอคาดหวังว่ามันคงจะเป็นบทสนทนาง่าย ๆ เหมือนสาว ๆ คุยกัน เพียงแค่พยักหน้ากับสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามเล่าเรื่องมา.

ซึ่ง Alex ก็บอกว่า “อายุ 30 มันเหมือนอายุ 20 อีกครั้งหนึ่ง” และเธอก็เห็นด้วยกับคำนี้ ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การแต่งงาน การมีลูก และแม้ความตาย ก็มักจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น ซึ่งสิ่งที่เธอกับคนไข้มีเหมือนกันในอายุ 20 กว่า ๆ คือมีเวลาเหลือเฟือ.

หลังจากนั้นไม่นาน อาจารย์ที่ปรึกษาก็ได้ผลักดันเธอ รวมถึงคนไข้ของเธอในเรื่องชีวิตรัก แต่เธอกลับต่อต้านมัน ซึ่งเธอตัดสินความสัมพันธ์ของคนไข้ว่ามันเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ดีพอ เหมือนการมีความสัมพันธ์กับคนห่วย ๆ มันจะเป็นไปได้เหรอที่จะแต่งงานกับผู้ชายแบบนี้.

ทว่า อาจารย์ที่ปรึกษาก็ได้บอกว่า “ถึงจะไม่ได้แต่งงานกับคนนี้ แล้วคนถัดไปล่ะ ซึ่งถ้าเกิดกรณีแต่งงานกันจริง ๆ เราควรจะคุยเรื่องการแต่งงาน ก่อนที่พวกเขาจะแต่งงานกันไม่ใช่เหรอ” ทางจิตวิทยาเรียกสิ่งนี้ว่า “อ๋ออย่างนี้นี่เอง” มันคือเหตุการณ์ที่ทำให้เธอได้ตระหนักรู้ว่า อายุ 30 ไม่ได้ต่างจากอายุ 20 เลย.

ซึ่งในคนทั่วไปก็มักจะถอยหลังกลับไปในสิ่งที่พวกเขาเคยเป็น แต่มันไม่ใช่กับ Alex ก็เพราะนี่ไม่ใช่ช่วงขาลงของการพัฒนาจิตใจ สิ่งนี้ทำให้อายุ 20 กว่า ๆ ถูกพัฒนาขึ้นอย่างมหัศจรรย์ และในขณะเดียวกัน คนส่วนใหญ่กลับนั่งอยู่เฉย ๆ ปล่อยเวลาผ่านไปวัน ๆ.

การตระหนักรู้ว่าเราทุกคนมักจะปล่อยเวลาทิ้งไปเฉย ๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว มันจะเป็นปัญหาอย่างมาก และก็มักจะส่งผลกระทบอย่างมหาศาลด้วย และแน่นอนไม่ใช่แค่เพียง Alex และชีวิตรัก แต่มันกระทบไปถึงหน้าที่การงาน ครอบครัว และอนาคตด้วย รวมถึงคนอายุ 20 กว่า ๆ ทุกหนแห่งเช่นกัน.

ณ ตอนนี้จะมีคนอายุ 20 กว่า ๆ ราว 50 ล้านคนที่อเมริกา และเรากำลังพูดถึง 15% ของประชากรทั้งหมด ทว่า ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าพิจารณากันจริง ๆ ทุกคนก็จะต้องผ่านอายุ 20 กว่า ๆ กันไปทั้งนั้น.

เธอก็อยากจะบอกกับคนอายุ 20 กว่า ๆ ทุกคนว่า สิ่งที่พวกเขาต้องเรียนรู้จาก นักจิตวิทยา, นักสังคมวิทยา, นักประสาทวิทยา และผู้เชี่ยวชาญด้านการเจริญพันธุ์ ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า อายุ 20 กว่า ๆ คือช่วงที่ใช้ชีวิตอย่างง่ายดายที่สุด มันเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านอัตลักษณ์ มันคือช่วงเวลาในการทำงาน ความรัก และให้เวลาได้มีความสุข บางทีก็อาจจะมอบประโยชน์ให้แก่โลกได้เช่นกัน.

เธอยืนยันว่าสิ่งที่เธอกล่าวมาทั้งหมด ไม่ใช่ความคิดเห็นของเธอแต่มันคือความจริง เรารู้ว่ามีมากกว่า 80% ที่คนส่วนใหญ่จะหาความหมายในชีวิตเจอ และมันเกิดก่อนอายุ 35 ปี จาก 8 ส่วนใน 10 ส่วนที่เราจะเกิดการตัดสินใจ และประสบการณ์ในชีวิต กับคำว่า “อ๋ออย่างนี้นี่เอง” ซึ่งมันจะนำไปสู่คำตอบของชีวิตว่าคืออะไร คำตอบของชีวิตก็จะเกิดขึ้นราวอายุ 30 กว่า ๆ.

คนที่อายุมากกว่า 40 ปี ไม่ต้องตกใจไป เธอเชื่อว่าทุกคนจะต้องผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน เรารู้ว่าในช่วง 10 ปีแรกของการทำงาน มักจะมีอิทธิพลในเรื่องของรายได้ที่คุณพึงจะได้รับ เรารู้ว่ากว่าครึ่งหนึ่งของคนอเมริกัน มักจะแต่งงาน หรืออยู่ครองเรือนกับคนรักอายุเฉลี่ยประมาณ 30 ปี.

เรารู้ว่าสมองมักจะเจริญเติบโตได้มากสุด 2 ครั้ง และครั้งสุดท้ายคือช่วงอายุ 20 กว่า ๆ มันจะทำหน้าที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกันเพื่อให้พัฒนาได้อย่างเต็มที่ สิ่งเหล่านี้จะสะท้อนว่า ถ้าคุณอยากจะเห็นตัวเองในอนาคตเป็นแบบไหน ให้เริ่มต้นที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองตั้งแต่ตอนนี้เลย.

เรารู้ว่าบุคลิกภาพจะเปลี่ยนแปลงได้ในช่วงอายุ 20 กว่า ๆ และมากกว่าช่วงเวลาอื่นในชีวิต และเรารู้ว่าจุดสูงสุดของการเจริญพันธุ์ในเพศหญิงจะมีอายุราว ๆ 28 ปี และหลังจากอายุ 35 ปีจะเป็นช่วงขาลง ซึ่งอายุ 20 กว่า ๆ จะเป็นช่วงรู้จักตัวเอง ไม่ว่าจะเกี่ยวกับร่างกาย หรือว่าทางเลือกของชีวิตก็ตาม.

ถ้าพูดถึงเรื่องพัฒนาการของเด็ก เราทุกคนรู้ดีว่าช่วง 5 ปีแรกมักจะเป็นช่วงที่สำคัญอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นภาษา และการป้อนข้อมูลเข้าไปยังสมอง ซึ่งในการเติบโตวันแล้ววันเล่า มันจะมีผลกระทบอย่างมหาศาล ว่าคุณจะกลายมาเป็นคนแบบไหนในอนาคต.

เรามักจะได้ยินกันน้อยมาก ในเรื่องพัฒนาการของผู้ใหญ่ และอายุ 20 กว่า ๆ คือช่วงที่สำคัญอย่างยิ่งของผู้ใหญ่ แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนอายุ 20 กว่า ๆ ได้ยินมาเลย สื่อสิ่งพิมพ์จะพูดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงตารางของช่วงการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ข้อมูลวิจัยเรียกช่วงอายุ 20 กว่า ๆ ว่าช่วงต่อขยายของวัยรุ่น.

นักข่าวได้ตั้งฉายาให้กับคนอายุ 20 กว่า ๆ ว่า Twixters และ Kidults ซึ่งในสังคมเรามักจะเกิดเรื่องราวไร้สาระแบบนี้อยู่ประจำ อะไรเป็นสิ่งที่กำหนดทศวรรษของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่.

Leonard Bernstein ได้กล่าวไว้ว่า การจะบรรลุจุดมุ่งหมายอันสูงสุดได้ คุณต้องวางแผนและเวลามันไม่เคยเพียงพอ แล้วอะไรมันจะเกิดขึ้น ถ้าคุณไปลูบหัวคนอายุ 20 กว่า ๆ เบา ๆ และพูดว่า “คุณมีเวลาอีก 10 ปีเพิ่มขึ้นมาเพื่อที่จะเริ่มต้นชีวิต” และมันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน.

ต่อให้คุณฉกฉวยคนเหล่านั้น ด้วยความเร่งรีบและความทะเยอทะยาน มันก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย และถึงแม้ว่าในทุกวันนี้คนอายุ 20 กว่า ๆ จะมีทั้งความฉลาดและความน่าสนใจมากเท่าไร ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นก็เหมือนกับคุณ และลูกชายคุณ รวมถึงลูกสาวของคุณด้วย.

โดยต่อมาคนเหล่านั้นก็จะเข้ามาบำบัดในออฟฟิศของเธอ และมักจะพูดคล้าย ๆ กันว่า “ฉันรู้ดีว่าแฟนฉันไม่ดีพอสำหรับฉัน มันก็แค่การฆ่าเวลาไปวัน ๆ เหมือนราวกับว่ามีความสัมพันธ์แบบไม่จริงจังก็เท่านั้น” หรือพวกเขาจะพูดว่า “ทุกคนมักจะพูดว่า ตราบใดที่ฉันเริ่มต้นทำงานในช่วงอายุ 30 ฉันจะต้องผ่านมันไปได้แน่นอน” แต่มันดูเหมือนว่าจะเป็นแบบนี้มากกว่า “ในช่วงอายุ 20 กว่า ๆ ของฉันกำลังจะหมดลง และมันไม่มีอะไรที่จะแสดงความเป็นตัวฉันได้เลย ก็ฉันมีเรซูเม่ที่ดีเยี่ยมตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัย”.

หลังจากนั้นมันจะเริ่มเป็นแบบนี้ “การนัดเดตในช่วงอายุ 20 กว่า ๆ ของฉันเหมือนเก้าอี้ดนตรี ทุกคนวิ่งรอบ ๆ ตัวฉัน และเราก็มีความสุขไปด้วยกัน แต่บางทีหลังจากอายุ 30 แล้วมันคล้ายกับว่าเพลงได้หยุดไปซะอย่างนั้น และทุกคนก็นั่งลงดื้อ ๆ ซึ่งฉันไม่อยากให้ทุกคนเป็นแบบนี้ มันเป็นตัวฉันเองที่ยืนอยู่คนเดียว ฉันไม่อยากจะบอกว่าในการแต่งงานกับสามี เป็นเพราะว่าเขาได้อยู่ใกล้กับเก้าอี้ตัวสุดท้าย ตอนฉันอายุใกล้จะ 30 ปี”.

เธอย้ำว่าใครที่อายุ 20 กว่า ๆ ในที่นี้ อย่าทำแบบนั้นเด็ดขาด มันเหมือนว่าจะเป็นแค่การโยนเหรียญ ซึ่งดูเผิน ๆ ก็ไม่ได้เสียหายอะไรมาก แต่การเดิมพันกับชีวิตมันมีความเสี่ยงสูงกว่านั้นเยอะ หลังจากที่ข้ามไปยังอายุ 30 กว่า ๆ มันคือช่วงการพบเจอแรงกดดันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการก้าวไปยังหน้าที่การงาน เลือกเมืองที่จะอยู่ เลือกคู่ครองที่จะใช้ชีวิตด้วย หลังจากนั้นก็มีลูกด้วยกันสัก 2 หรือ 3 คน และมันเป็นช่วงเวลาที่สั้นมาก ๆ.

มันมีหลายสิ่งมากที่เข้ากันไม่ได้ และข้อมูลวิจัยได้ชี้ชัดว่า มันค่อนข้างจะยาก และก็ตึงเครียดที่เราจะทำทุกอย่างในเวลาเดียวกันทั้งหมดในอายุ 30 กว่า ๆ ยุคหลังของช่วงวิกฤตกลางอายุคน ไม่ใช่ว่าเราไม่สามารถซื้อรถสปอร์ตสีแดงได้ แต่มันคือการที่คุณต้องตระหนักรู้ว่า คุณไม่สามารถทำงานในสิ่งที่คุณต้องการได้ในตอนนี้ หรือคุณไม่สามารถมีลูกได้ในตอนที่คุณต้องการในตอนนี้ รวมถึงคุณไม่สามารถให้ลูกคุณมีน้องได้.

มีคนอายุ 30 กว่า ๆ และ 40 กว่า ๆ หลายคน มองดูชีวิตตัวเอง และมองมาที่เธอ โดยการนั่งอีกฝั่งหนึ่งของห้อง และพูดถึงช่วงอายุ 20 กว่า ๆ ในอดีตว่า “ฉันทำอะไรในตอนนั้น และอะไรที่ฉันคิดในตอนนั้น” เธอต้องการจะเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่คนอายุ 20 กว่า ๆ กำลังทำและกำลังคิด ณ ขณะนั้น.

นี่คือเรื่องราวที่จะทำให้มันสามารถเป็นจริงได้ มันคือเรื่องราวของผู้หญิงที่ชื่อว่า Emma ซึ่งตอนนั้นอายุได้ราว 25 ปี หลังจากนั้นก็ได้เข้ามาบำบัดยังออฟฟิศของเธอ ด้วยเหตุผลที่ว่า กำลังประสบปัญหาการรู้จักตนเอง ก็เพราะสับสนว่าจะเลือกทำงานอะไรระหว่างศิลปะ หรือสื่อบันเทิง.

ซึ่งใช้เวลาร่วมปีกว่าในการทำงานเสิร์ฟอาหาร เพราะว่ามันประหยัดกว่าที่จะใช้ชีวิตอยู่กับแฟนด้วย ซึ่งแฟนก็จะเป็นลักษณะมีอารมณ์ที่รุนแรงมากกว่าความใฝ่ฝัน และความทะเยอทะยาน รวมถึงสิ่งที่ยากที่สุดในช่วงอายุ 20 กว่า ๆ คือการใช้ชีวิตช่วงแรก ๆ มันมักจะเป็นเรื่องยากมาก ซึ่งเธอจะมีคำพูดเพื่อให้เลือกระหว่าง “คุณไม่สามารถเลือกครอบครัวได้ แต่คุณสามารถเลือกเพื่อนได้”.

แล้ววันหนึ่ง Emma ก็ได้เข้ามา ต่อมาก็ก้มหน้าลงบนตักและร้องไห้ยาวนานเป็นชั่วโมง ซึ่งในตอนนั้นก็ได้สมุดจดที่อยู่มาใหม่ และก็ได้เขียนรายชื่อผู้ติดต่อไปในสมุดเล่มนั้นด้วย หลังจากนั้นก็จ้องมองอยู่ในช่องว่างเหล่านั้น และเขียนว่า “ในกรณีฉุกเฉิน ให้ติดต่อ…”.

เหมือนกับว่าโรคประสาท มันทำให้ความกังวลยิ่งทวีคูณขึ้น ก็เพราะมักจะมีคำถามประมาณว่า “ใครจะสามารถช่วยฉันได้บ้าง ถ้าฉันติดอยู่ในรถ” “ใครจะดูแลฉันได้บ้าง ถ้าฉันเป็นโรคมะเร็ง” ซึ่งในตอนนั้นมันทำให้เธอรู้สึกว่าจะไม่พูดคำนี้ “ฉันจะช่วยเหลือเอง” แต่สิ่งที่ Emma ต้องการไม่ใช่การบำบัด แต่มันคือใครสักคนที่เป็นห่วงเธอจริง ๆ.

Emma ต้องการจะมีชีวิตที่ดียิ่งขึ้น และรู้ว่านี่คือโอกาสเดียว เธอได้เรียนรู้อย่างมากมาย ตั้งแต่ได้เรียนรู้กับ Alex กำลังตกที่นั่งแบบนั้น ในขณะที่ Emma กำลังกำหนดทศวรรษที่กำลังจะผ่านไป อีกไม่กี่อาทิตย์ต่อมา.

เธอได้บอกกับ Emma สามสิ่ง และทุกคนที่อายุ 20 กว่า ๆ ไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิงสมควรได้ยินมัน.

3 สิ่งที่คนอายุ 20 กว่า ๆ ทุกคนควรรู้

1. ให้ลืมเรื่องเกี่ยวกับปัญหาการรู้จักตนเอง และนำจุดหลักของการรู้จักตนเองมา.

คำว่านำจุดหลักของการรู้จักตนเองมาคือ การรู้ชัดแล้วว่าการเพิ่มคุณค่าในตัวเองต้องมีอะไรบ้าง เริ่มต้นที่จะลงทุนในตัวเอง และสิ่งที่ตัวเราต้องการจะเป็นจริง ๆ ซึ่งเธอก็บอกว่าเธอไม่มีทางรู้ได้หรอกว่า Emma จะสามารถมีชีวิตที่ดีขึ้นได้จริง ๆ ไหม แต่เธอเพียงแค่บอกได้ว่า การรู้จุดหลักของการรู้จักตนเอง จะก่อให้เกิดการรู้จุดหลักของการรู้จักตนเอง.

ตอนนี้คือเวลาของการผ่าเหล่าอาชีพในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการฝึกงาน การเริ่มต้นทำธุรกิจที่ต้องการจะลองทำ เธอก็ได้บอกว่าไม่ได้จะมาลดค่าของคนอายุ 20 กว่า ๆ แต่จะมาย่นย่อเวลาในการสำรวจหนทางเดินในชีวิต ว่าทางไหนไม่ควรจะไปเสียเวลากับมัน แต่อย่างไรก็ตามที่พวกเขากำลังทำมันไม่ใช่การสำรวจ แต่มันคือการผัดวันประกันพรุ่ง.

เธอเน้นย้ำกับ Emma ว่าให้ลองดูการทำงาน และให้มันก่อเกิดประโยชน์ได้ด้วย.

2. อย่าให้ความสนใจกับวัฒนธรรมในสังคมมากจนเกินไป.

เพื่อนที่ดีคือการที่นั่งรถไปส่งที่สนามบิน แต่คนอายุ 20 กว่า ๆ มักจะมีความสนิทสนมเสมือนกับเป็นคนเดียวกัน รู้ข้อจำกัดของกันและกัน อะไรที่พวกเขารู้ พวกเขามีความคิดอย่างไร พวกเขาพูดอย่างไร และพวกเขาทำงานที่ไหน นั่นคือชิ้นส่วนสำคัญที่จะนำไปสู่การหาคนที่จะเดตด้วย และมักจะเข้ามาจากคนภายนอกโดยอิงอาศัยกับคนข้างในวงกลม.

ซึ่งสิ่งใหม่ ๆ จะเข้ามาจากความสัมพันธ์ที่ไม่สนิทกันมาก เช่นเพื่อนของเพื่อนของเพื่อน และใช่ ครึ่งหนึ่งของคนอายุ 20 กว่า ๆ จะไม่ หรือไม่ขึ้นอยู่กับการถูกว่าจ้าง แต่กลับกันอีกครึ่งหนึ่งก็จะมีความสัมพันธ์แบบไม่สนิทมาก และทำให้กลุ่มนี้ผลักตัวเองเข้าไปในอีกกลุ่มหนึ่งได้.

ตำแหน่งงานกว่าครึ่งหนึ่งไม่ได้ถูกประกาศ มันคือการดึงเข้ากลุ่มจากเจ้านายของเพื่อนบ้านคุณ เพื่อคุณจะได้ทำงาน แม้ว่าคุณจะไม่ได้ประกาศหางานก็ตาม นี่ไม่เรียกว่าโกงนะ มันคือวิทยาศาสตร์ว่าด้วยเรื่อง การจะให้ข้อมูลแพร่กระจายได้อย่างไร.

3. ถ้าไม่สามารถเลือกครอบครัวได้ในตอนนี้ ก็ต้องเลือกเพื่อนแทน.

สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด Emma รู้ว่าไม่สามารถเลือกครอบครัวได้ แต่ก็มีเพื่อนที่เลือกได้อยู่ และเมื่อได้เจอคู่ครอง เพื่อที่จะสร้างครอบครัวตามสิ่งที่มุ่งหวังไว้ เธอได้บอก Emma ว่า นี่คือเวลาที่จะเลือกครอบครัวแล้วนะ.

คุณอาจจะคิดว่าช่วงอายุ 30 ปี น่าจะเป็นเวลาที่เราควรจะถอยหลังกลับไป มากกว่าตอน 20 ปี หรือช่วงอายุ 25 ปี และเธอก็เห็นด้วยกับคุณ แต่การที่จะดึงใครสักคนมาใช้ชีวิตด้วย หรือหลับนอนด้วย ในขณะที่ทุกคนในเฟซบุ๊กเริ่มเดินไปตามทางกัน มันไม่ใช่ความก้าวหน้า ก็เพราะเวลาที่ดีที่สุดที่คุณจะเรียนรู้ในการใช้ชีวิตแต่งงานก็คือ ก่อนที่คุณจะแต่งงาน.

มันคือการเริ่มต้นที่จะตั้งใจมั่นในความรัก เหมือนกับที่คุณตั้งใจมั่นกับเรื่องการทำงาน ให้เลือกครอบครัวอย่างมีสติมากที่สุด เช่น ใครและอะไรที่คุณต้องการจริง ๆ ให้มันมากกว่าการแค่คิดว่ามันคือการทำงาน หรือฆ่าเวลาไปวัน ๆ ด้วยการแค่ใครสักคนเกิดจะเลือกคุณขึ้นมา.

แล้ว Emma เกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ได้ซื้อสมุดจดที่อยู่มา และหลังจากนั้นก็พบว่ามีที่อยู่ของลูกพี่ลูกน้องซึ่งเป็นรูมเมทเก่า เป็นคนที่ทำงานในพิพิธภัณฑ์จากอีกรัฐหนึ่ง และความสัมพันธ์ที่ไม่สนิทมากก็นำมาซึ่งการได้ทำงานใหม่ รวมถึงงานก็เป็นเหตุผลหนึ่ง ที่จะช่วยให้ห่างกับแฟนด้วย.

หลังจากนั้น 5 ปี ตอนนี้ก็ได้รับตำแหน่งการจัดนิทรรศการพิเศษในพิพิธภัณฑ์นั้นด้วย รวมถึงได้แต่งงานกับผู้ชายที่เกิดจากความตั้งใจที่จะคบหาจริง ๆ ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เกิดความสุขในหน้าที่การงาน และครอบครัว ต่อมาก็ได้ส่งจดหมายมาหาเธอว่า “ตอนนี้ในช่องกรณีฉุกเฉินไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่อีกต่อไป”.

มันคือเหตุผลที่เธอรักที่จะทำงานกับคนอายุ 20 กว่า ๆ เพราะพวกเขาช่วยเหลือได้ไม่ยากนัก คนอายุ 20 กว่า ๆ ก็เหมือนเครื่องบินที่เพิ่งออกจาก LAX ที่มุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตก ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ที่จะแตกต่างกันไปว่าพวกเขาจะลงจอดที่ Alaska หรือ Fiji.

นอกจากนั้น ไม่ว่าอายุ 21 หรือ 25 หรือแม้ 29 ปี ก็ตาม เพียงการสนทนาแค่หนึ่งครั้ง โอกาสเพียงหนึ่งครั้ง หรือการชม TED เพียงครั้งเดียว มันจะมีอานุภาพมหาศาลมาก มีสิ่งหนึ่งที่เธอได้เน้นย้ำกับ Alex ว่าอะไรที่ฉันมีในตอนนี้คือสิทธิพิเศษ มันคือคำพูดเพื่อให้คนอายุ 20 กว่า ๆ อย่างเช่น Emma ได้รู้จักการใช้ชีวิต.

อายุ 30 จะไม่แตกต่างจากอายุ 20 เลย รับรองว่าการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ จะต้องนำจุดหลักของการรู้จักตนเองมาให้ได้ ใช้โอกาสจากความสัมพันธ์แบบไม่สนิท และตั้งใจเลือกครอบครัวของคุณเอง และไม่ต้องไปกำหนดค่าว่าอะไรที่คุณยังไม่รู้ หรืออะไรที่คุณยังไม่ได้ทำ เพราะตอนนี้คุณเลือกได้ว่าจะทำอะไรต่อจากนี้ไป.

ความหมายชีวิตจะเข้ามาก็ต่อเมื่อเราค้นหามัน อายุ 20 กว่า ๆ เป็นเวลาที่สำคัญที่สุด

Meg Jay

สามารถซื้อหนังสือได้ที่

Amazon
Books Kinokuniya