เหตุการณ์ตื่นตระหนกสามารถกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีได้

เหตุการณ์ตื่นตระหนกสามารถกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีได้

ความคิดเห็นต่อการบรรยาย

Klein ได้เริ่มต้นด้วยคำถามที่เธอได้ตั้งมาทั้งชีวิตเลยว่า “ทำไมเมื่อเราทุกคนที่กำลังเจอกับวิกฤตระดับกว้าง บางคนถึงถูกกระตุ้นให้มีการเปลี่ยนแปลง และทำไมบางคนกลับกลายเป็นถูกกระตุ้นเพียงเล็กน้อย และหลังจากนั้นพวกเขาก็กลับไปนอนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น” แล้วสิ่งที่เธอต้องการจะสื่อจริง ๆ มันคือวิกฤตระดับมโหฬาร ไม่ว่าจะเป็น ความหายนะของตลาดโลก การอุบัติขึ้นของ Fascism และความโกลาหลของอุตสาหกรรมที่ส่งผลเสียต่อมหภาค.

ตอนนี้ในทุก ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดูเหมือนว่าจะเกิดขึ้นแบบพร้อม ๆ กัน จนกระทั่งเราเห็นภัยคุกคาม เราเลยจะเข้าไปจัดการมัน เราค้นหาจุดแข็ง และแก้ปัญหาในเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นมาอย่างเหลือเชื่อ ถ้าเราไม่สามารถเดินได้ เราก็แค่ก้าวข้ามผ่านมันไป ยกเว้นแต่เพียงการเกิดสัญญาณเตือนพร้อมกัน ดูเหมือนว่ามันจะเป็นการถูกจองจำมากกว่า.

โดยการเผชิญหน้ากับวิกฤตที่เรามักจะล้มเหลว ถดถอย และมันก็จะกลายเป็นหน้าต่างสำหรับกลุ่มคนที่ต่อต้านประชาธิปไตยต่อไป เพื่อที่จะผลักให้สังคมนั้นล้าหลังลงไปอีก รวมถึงจะกลายเป็นมากกว่าความเหลื่อมล้ำ และไม่มีความเสถียรภาพด้วยเช่นกัน.

10 ปีที่ผ่านมา เธอได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับกระบวนการล้าหลัง โดยมีชื่อว่า Shock Doctrine แล้วอะไรล่ะที่มันจะนำทางเราไปสู่วิกฤตได้ แม้ว่าเราจะเติบโตอย่างรวดเร็วก็ตาม และเราก็ค้นหาจุดแข็งได้แล้ว หรือแม้ว่าเราจะสามารถเอาชนะมันได้ เธอบอกอีกว่านี่คือคำถามที่น่าจะสำคัญในวันนี้ เพราะว่ามีหลายสิ่งที่น่าวิตกอย่างมากเกี่ยวกับในโลกใบนี้.

การทำลายสถิติสูงสุดของพายุ เมืองหลายแห่งถูกน้ำท่วม การทำลายสถิติของไฟป่าซึ่งกำลังเป็นภัยคุกคามที่จะกลืนกินพวกเขาเหล่านั้น ผู้อพยพมากกว่าพันคนได้หายสาบสูญไปกับคลื่นทะเล และการเปิดตัวของนักเคลื่อนไหวก็ได้อุบัติขึ้นในหลาย ๆ ประเทศ ซึ่งตอนนี้ก็กำลังค่อย ๆ สุมไฟขึ้นมาในละแวกต่าง ๆ.

ในตอนนี้มันไม่มีทางลัดที่จะไปให้คนเหล่านี้ที่ได้ยินสัญญาณเตือนต่าง ๆ ทว่า ในระดับสังคม เธอไม่คิดว่าเราจะสามารถบอกอย่างจริงใจว่า นั่นเราจะสามารถตอบโต้ด้วยความฉับไวเสมอไป เพราะนั่นคือการทับซ้อนของวิกฤตที่เกิดขึ้นจากเราทุกคน อย่างที่ทุกคนรู้กันดีอยู่แล้ว ว่ามันสามารถเกิดวิกฤตได้ทุกเมื่อเพื่อที่จะกระตุ้นให้เกิดการวิวัฒนาการอย่างก้าวกระโดด.

หนึ่งในตัวอย่างวิกฤตที่รุนแรงเป็นพลังก้าวหน้าของวิกฤตนั้น คือเหตุการณ์ Great Crash of 1929 มันคือช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในการพังครืนของตลาด หลังจากการผ่านพ้นเหตุการณ์นี้ไป ก็มีผู้คนกว่าล้านคนที่สูญเสียทุกสิ่งอย่างกำลังต่อแถวรับขนมปังเพื่อประทังชีวิต และนี่จะถูกพาดพิงโดยหลายคำครหาว่าระบบมันพังครืนด้วยตัวของมันเอง รวมถึงผู้คนมากมายก็จะฟังข้อความเหล่านั้น และพวกเขาก็จะก้าวข้ามผ่านไปสู่การกระทำนั้นเลย.

ซึ่งในอเมริกา และในทุกที่ รัฐบาลเริ่มต้นที่จะสานต่อระบบป้องกัน แล้วถ้ามีเหตุการณ์ที่เลวร้ายซ้ำขึ้นอีกก็จะเริ่มต้นด้วยระบบปฏิบัติการอย่างเช่น ระบบป้องกันในการเลือกผู้คน ซึ่งมันมีขนาดมหาศาลมากในเรื่องของการว่าจ้างในระบบการลงทุนสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นการเคหะ การไฟฟ้า และการคมนาคม ก็มักจะมีคลื่นของการแทรกแซงเพื่อครอบครองจากธนาคารเสมอ.

ทั้งหมดที่กล่าวมาในตอนนี้ เหมือนจะดัดแปลงให้มันดูสมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว ซึ่งในอเมริกา คนทำงานเชื้อสายแอฟริกัน-อเมริกัน ผู้อพยพ และผู้หญิง ก็มักจะไม่ได้รวมอยู่ในรายชื่อที่กล่าวมานี้ แต่ว่าในช่วงเลวร้าย ที่ประกอบกับการขยับขยายของประเทศพันธมิตร และเศรษฐกิจ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้แสดงให้เราเห็นว่านั่นมันคือความเป็นไปได้ต่อสังคมที่มีความซับซ้อน ที่จะเร่งในการขยายตัวเพื่อเผชิญหน้ากับกลุ่มก้อนการคุกคามนั้น.

มันเลยมีความหมายว่า Shock + Wake up = A Leap

ถึงแม้ว่ามันมีแนวโน้มที่ใช้ได้ผลดี แต่หลังจากนั้นทำไมมันถึงใช้ไม่ได้ผลแล้วล่ะ ทำไมการที่เราทำอย่างทุกวันนี้ถึงมีแต่ระลอกของความวิตกอยู่ตลอดเวลา ทำไมพวกเขาถึงไม่ผลักดันให้เรากระทำอะไรสักอย่างนึงล่ะ และทำไมพวกเขาถึงไม่สร้างการก้าวข้ามผ่านอะไรเลยล่ะ เธอต้องการเน้นย้ำว่าอะไรเป็นสูตรสำเร็จสำหรับการขยับขยายอย่างลึกซึ้ง ที่เป็นตัวกระตุ้นจากการเจอเหตุการณ์วิตกอย่างรุนแรง.

เธอได้เน้นย้ำอยู่ 2 จุดสำคัญ ที่มักจะอยู่นอกเหนือจากหนังสือประวัติศาสตร์.

1. สิ่งที่ต้องทำคือจินตนาการ (One has to do with imagination)

2. ด้วยการจัดสรรผู้อื่น (The other with organization)

เพราะว่ามันคือการที่เราต้องเล่นด้วยกันระหว่าง 2 คน โดยที่อำนาจการปฏิวัติยังคงอยู่ ชัยชนะของ New Deal ไม่ได้เกิดขึ้นก็เพราะ ทุกคนตระหนักรู้ดีว่ามันคือความโหดร้ายของการปล่อยให้ทำกันเอง และครั้งนี้ทำให้ได้จดจำไปถึงความหมักหมมเชิงอุดมคติที่ยิ่งใหญ่ เมื่อเกิดความหลายหลายทางความคิดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจัดสรรสังคมอย่างไรในตอนที่มีคนกำลังสู้กันอยู่ ณ จัตุรัสกลางเมือง.

เวลาที่มนุษยชาติท้าทายที่จะสร้างฝันอันยิ่งใหญ่ หมายถึงสร้างความแตกต่างให้กับอนาคต แม้ว่าทุกคนจะจัดสรรไปพร้อมกับกลุ่มคนที่ต้องการความเสมอภาคกับทุกฝ่าย ตอนนี้ไม่ใช่ว่าทุกความคิดที่กล่าวมาจะเป็นสิ่งที่ดี แต่มันคือยุคของการปะทุจากจินตนาการ ซึ่งความหมายในการเคลื่อนไหวนั้นคือการต้องการความเปลี่ยนแปลง รู้ว่าอะไรที่ขัดแย้งบ้าง การประสบกับความยากจน และความแผ่ซ่านของความเหลื่อมล้ำ แต่นี่คือส่วนที่สำคัญก็ในเมื่อพวกเขารู้ว่าพวกเขาทำไปเพื่ออะไร.

เวลากว่าทศวรรษ ที่สังคมและแรงงานได้เคลื่อนไหว โดยการสร้างสมาชิกให้เป็นปึกแผ่น เชื่อมต่อสาเหตุเข้าด้วยกัน และเพื่อเพิ่มจุดแข็งมากยิ่งขึ้น ในขณะเวลาที่การพังทลายได้เกิดขึ้น พวกเขาก็จะพร้อมเสมอที่จะเคลื่อนไหว นั่นก็จะเป็นความยิ่งใหญ่พอสำหรับการสร้างเวทีเพื่อโจมตี แล้วมันไม่ใช่เพียงแค่ส่งผลกระทบในการหยุดดำเนินการเฉพาะที่โรงงานเท่านั้น แต่หยุดดำเนินการทั้งเมืองเลยก็ว่าได้.

นโยบายระดับใหญ่โตได้รับชัยชนะของการร่างสัญญาใหม่ เพื่อเป็นตัวการันตีว่า ได้เสนอความประนีประนอมให้มากที่สุด ก็เพราะอีกทางเลือกหนึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นการปฏิวัติเสียมากกว่า เรามาปรับเปลี่ยนความเท่าเทียมจากต้นกำเนิดกันดีกว่า.

โดยใช้สมการ Shock + Utopian Imagination + Movement Muscle = A Leap

แล้วตอนนี้ได้มีเหตุการณ์ไหนที่จะประเมินค่าได้บ้าง เพื่อให้เราได้ใช้ชีวิตอยู่อีกครั้งหนึ่ง ในตอนนี้ที่มีสิทธิพิเศษในการเข้าร่วมทางการเมืองได้ การเมืองคือค่ามวลรวมของการถูกครอบงำจิตใจเอาไว้ การก้าวหน้าทางความเคลื่อนไหวมักจะเติบโต และต่อต้านได้ด้วยความกล้าหาญอย่างยิ่งยวด แล้วเราได้เรียนรู้จากอดีตก็คือ คำว่า ‘ไม่’ ไม่เคยเพียงพอ แล้วในตอนนี้ ที่มีบางคนเริ่มพูดคำว่า ‘ใช่’ มากขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาก็จะยิ่งเพิ่มความหนาแน่นอย่างรวดเร็วตามมาด้วย.

ที่ใดที่นักเคลื่อนไหวสิ่งแวดล้อมได้ใช้คำพูดเกี่ยวกับ การเปลี่ยนชนิดของหลอดไฟ ซึ่งตอนนี้เราได้มีการผลักดันกว่า 100% ของพลังงานทั้งหมด ที่มาจากแสงอาทิตย์ ลม และคลื่นทะเล รวมถึงเราจะทำมันอย่างรวดเร็วด้วย นักเคลื่อนไหวจะไปกระตุ้นตำรวจที่มักจะใช้ความรุนแรงกับคนผิวสี เรียกร้องสำหรับการสิ้นสุดของการเป็นตำรวจ ด้วยการกักขัง และแม้แต่ให้เขาชดเชยความเสียหายให้แก่ระบบทาส.

ส่วนนักเรียนไม่เพียงแต่ต่อต้านการเพิ่มค่าเล่าเรียน แต่จาก Chile ไปยัง Canada และไปยัง UK พวกนักเรียนยังเรียกร้องให้สถาบันการศึกษามอบค่าเล่าเรียนให้ฟรี และให้ปลดภาระหนี้สินคืนทั้งหมดด้วย แต่ที่กล่าวมาทั้งหมดก็ยังไม่ใช่องค์มวลรวม โดยส่วนมากแล้วเรามักจะคิดเกี่ยวกับระบอบการเมืองที่เปลี่ยนไป จากการแบ่งเป็นส่วน ๆ เช่น นำเรื่องธรรมชาติไว้ส่วนหนึ่ง ความเหลื่อมล้ำไว้อีกส่วนหนึ่ง การเหยียดสีผิว และเหยียดเพศก็เอาไว้อีกคู่หนึ่ง การศึกษา และสุขภาพก็เอาไว้อีกตรงหนึ่ง.

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เรามักจะรวมปัญหาของทุกสิ่งเอาไว้ด้วยกันเหมือนฉางเก็บข้าว การจะรวมเรื่องราวเข้าด้วยกันมักจะไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป ก็เพราะโดยปกติแล้ว มนุษย์จะเลือกคัดสรรความสำคัญทีละเรื่องโดยแยกออกจากกัน คนที่ต่อสู้เกี่ยวกับความยากจน และความเหลื่อมล้ำก็จะมีน้อยคนนักที่จะพูดเรื่องภาวะโลกร้อน หรือคนที่จะพูดถึงจริง ๆ ก็จะต้องเป็นคนที่อ่อนไหวต่อภูมิอากาศมาก ๆ รวมถึงคนที่ต่อสู้เกี่ยวกับภาวะโลกร้อนก็จะมีน้อยคนนักที่พูดถึงเกี่ยวกับสงคราม และการว่าจ้าง อย่างที่เรารู้กันว่าความต้องการของ Fossil fuel เป็นตัวผลักดันให้เกิดปัญหาขึ้นมา.

การปฏิบัติตัวต่อทุกสีผิวอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นผิวขาว ผิวคล้ำ แต่เมื่อคนผิวสีถูกปฏิบัติตัวอย่างกับของทิ้งขว้าง ไม่ว่าจะเป็นในคุก ในโรงเรียน และบนท้องถนนทั่วไป การจะเพิ่มสายใยเข้าด้วยกันมันมักจะยากเอามาก ๆ กำแพงระหว่างฉางเก็บข้าว มันเหมือนกับการที่เราแก้ปัญหาเมื่อปัญหาได้อุบัติขึ้นมา มันก็มักจะถูกตัดการเชื่อมต่อออกจากกันและกัน อย่างที่เธอได้เน้นย้ำว่าการก้าวหน้านั้นมีหลายอย่างที่จะต้องจัดการ ที่เราต้องใช้คำว่า ‘ใช่’ แต่เหมือนกับว่ามีบางสิ่งที่ยังขาดหายไปอยู่.

เหมือนกับเราต้องเชื่อมต่อภาพของโลก ว่าที่เราต่อสู้กันไปเพื่ออะไรกันแน่ อะไรที่มันจะเป็นไป อะไรที่มันจะรู้สึก และทั้งหมดทั้งมวล อะไรคือแกนกลางมูลค่าที่แท้จริง แล้วนี่คือสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะเมื่อไหร่ที่วิกฤตวงกว้างมาถึงตัวเรา เราก็จะต้องต่อสู้กับความต้องการของการก้าวข้ามผ่านไปในสิ่งที่ปลอดภัยกว่านี้ แล้วมันไม่มีข้อตกลงใด ๆ ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับที่แห่งนั้นบ้าง และการที่ก้าวข้ามผ่านโดยขาดหนทาง มันก็เหมือนว่าแค่เรากระโดดขึ้นและลงแค่นั้น.

ด้วยจังหวะที่ดีในการที่ได้สนทนากัน และการทดลองนี้ยังคงดำเนินการต่อไปอยู่ ที่พยายามจะเอาชนะหน่วยงานต่าง ๆ ที่พยายามดึงให้เราถอยหลังกลับ และเธอต้องการที่จะจบการสัมมนาในครั้งนี้ด้วยการพูดถึงสิ่งนั้น.

2 ปีที่ผ่านมา กลุ่มของเธอใน Canada ได้ไปชนกับกำแพงกั้นที่เรามุ่งหวังว่าจะผ่านลุล่วงไปได้ ในการที่เจอกับฉางเก็บข้าว กลุ่มของเธอก็ได้กักตัวในห้องเป็นเวลา 2 วัน เพื่อหาว่าอะไรเป็นสิ่งที่ขวางกั้นจากกันและกันจริง ๆ ซึ่งก็จะมีชนพื้นเมืองที่อายุเยอะ พร้อมกับ Hipsters ที่ทำงานเกี่ยวกับระบบคมนาคม รวมถึงมีคนที่เป็นหัวหน้า Greenpeace พร้อมกับผู้นำสมาคมที่นำเสนอเกี่ยวกับแรงงานน้ำมัน และคนตัดไม้ จากนั้นก็มีผู้นำที่เปี่ยมไปด้วยความศรัทธา สัญลักษณ์เพศหญิง และอื่น ๆ อีกมากมาย.

กลุ่มของเธอก็ได้รับมอบหมายให้ทำงานชิ้นหนึ่งที่มีความท้าทายเอามาก ๆ คือการเห็นพ้องกับความคิดเห็นสั้น ๆ อธิบายถึงโลกใบนี้หลังจากที่เราได้รับชัยชนะไปจะเป็นอย่างไร แล้วโลกหลังจากที่เราทุกคนได้ตัดสินใจเลือกไปแล้ว มันคือการเปลี่ยนผ่านไปสู่ความใสสะอาดของเศรษฐกิจที่แท้จริง และมีความเท่าเทียมกันในสังคม ในอีกความหมายหนึ่ง แทนที่เราจะทำให้ผู้คนกลัวเกี่ยวกับอะไรที่จะเกิดขึ้นมาบ้างถ้าเราไม่ได้ทำมัน โดยกลุ่มของเธอได้ตัดสินใจที่จะพยายามสร้างแรงบันดาลใจให้กับพวกเขาเหล่านั้น ด้วยการเปลี่ยนเป็นถ้าเราทำมันขึ้นมาล่ะ แล้วอะไรจะเกิดขึ้นมาจริง ๆ.

คนที่มีความรู้สึกอ่อนไหวง่ายก็มักจะบอกกับพวกเราเสมอว่า การที่จะเปลี่ยนความต้องการมันจะค่อย ๆ กลายมาเป็นจำนวนที่สะสมขึ้นทีละเล็กทีละน้อย การเมืองนั้นคือศิลปะของความเป็นไปได้ และนั่นเราจะไม่สามารถทำให้มันสมบูรณ์ได้ด้วยการเป็นศัตรูกับสิ่งที่ดี มันจะดีกว่าไหมที่เราจะปฏิเสธทุกสิ่งที่พูดมา เธอได้เขียนใบประกาศ และเธอเรียกมันว่า The Leap.

เธอต้องการบอกกับทุกคนว่า ข้อตกลงนั้นมันคือการเห็นพ้องว่า ‘ใช่’ โดยการผ่าเหล่าความหลากหลายของประสบการณ์ และต่อต้านฉากหลังของความเจ็บปวดในอดีตที่ล่วงเลยมาแล้ว และแน่นอนมันไม่ใช่งานที่ง่ายเลย แต่มันก็น่าตื่นเต้นอยู่เหมือนกัน ก็เพราะตั้งแต่ที่เราอนุญาตให้ตัวเองได้กล้าที่จะฝัน สายใยเหล่านั้นก็ถูกถักทอเข้าด้วยกัน กลายเป็นการรู้จักตนเองอย่างแท้จริง เราก็จะเกิดความตระหนักรู้ขึ้น.

ไม่ว่าจะเป็นการตามหาบางสิ่ง ที่อยู่ลึกที่สุดหาประมาณมิได้เพื่อให้ได้ผลกำไรนั้น มันเป็นตัวบังคับให้หลาย ๆ คนทำงานมากกว่า 50 ชั่วโมงต่ออาทิตย์ โดยปราศจากความปลอดภัยใด ๆ และมันคือเชื้อเพลิงในการแพร่ระบาดของความหมดอาลัยตายอยากขึ้นมา ซึ่งมันเหมือนกันกับการตามหากำไร และการเติบโตที่ไม่มีที่สิ้นสุด นั่นก็เหมือนกับวิกฤตแกนหลักในระบบนิเวศของพวกเราทุกคน และนี่คือความวุ่นวายของโลกเราอย่างแท้จริง.

มันเป็นอะไรที่ชัดเจนว่าเราต้องการจะทำอะไร ก็ในเมื่อเราต้องการสร้างวัฒนธรรมของผู้ที่เป็นห่วงเป็นใยคนอื่นเสมอ ไม่ว่าใครหรือที่ใดที่จะทิ้งขว้างกัน ไม่ว่ามูลค่าโดยธรรมชาติของทุกคน และทุก ๆ พื้นฐานของระบบนิเวศจะเป็นเช่นไร เธอก็เลยออกแบบสิ่งนี้มาพร้อมกับรูปแบบของผู้คน เธอจะไม่อธิบายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องแต่ถ้าใครสนใจ คุณสามารถอ่านมันได้ที่ theleap.org แต่ตอนนี้เธอจะให้ชิมรสชาติของสิ่งที่เธอได้กลายมาเป็นงานนี้.

ภารกิจของเราคือ ได้เรียกร้องโดยใช้ 100% ในปรับเปลี่ยนแบบแผนเศรษฐกิจโดยเร่งด่วนที่สุด ซึ่งเราได้ไปไกลกว่านั้นแล้ว เราเรียกร้องให้เกิดการแลกเปลี่ยนสำหรับการค้าขายขึ้นมา เป็นการโต้วาทีแบบจริงจัง บนการการันตีรายรับแบบรายปี ด้วยการมีสิทธิโดยสมบูรณ์สำหรับผู้ที่เป็นแรงงานอพยพ โดยนำเงินจากองค์กรออกมาจากระบอบการเมือง เพื่อให้ประชาชนใช้สุขภัณฑ์ในชีวิตประจำวันได้อย่างเสรียิ่งขึ้น รวมถึงปฏิรูปการเลือกตั้ง และอีกมากมาย.

สิ่งที่ค้นคว้ามาทั้งหมดนั่นคือความยิ่งใหญ่ของเราทุกคน ที่กำลังมองการอนุญาตที่จะแสดงออก ที่ไม่ใช่การทำเครื่องหมายการค้า และที่ไม่ใช่การเคลื่อนไหวแบบทั่วไป เพราะว่านักเคลื่อนไหวที่ดีจะไม่ต้องการฐานะ พวกเขาต้องการความคิดดี ๆ เพื่อจะให้มันกระจายไปสู่วงกว้างที่มากพอ สิ่งที่เธอรักในโครงการ The Leap คือมันปฏิเสธทุกความคิด ที่มันเกี่ยวกับชนชั้นของวิกฤต และมันไม่ใช่การไปถามบุคคลใดบุคคลหนึ่งเพื่อให้เกิดความสำคัญผิดขึ้นมา หรือต้องรอให้อีกฝ่ายตอบกลับมา.

แล้วแน่นอนทุกสิ่งเกิดที่ Canada เราค้นคว้ามาว่า ประเทศนี้ยังคงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดีอีกด้วย ตั้งแต่การเปิดตัวของ The Leap โครงการนี้ได้ถูกหยิบยกประเด็นขึ้นมาทั่วโลก ด้วยรูปแบบคล้ายคลึงกัน โดยได้เริ่มต้นเขียนจาก Nunavut ไปยัง Australia ไปยัง Norway ไปยัง UK และไปยังอเมริกา ซึ่งเป็นที่ที่เจอแรงเสียดทานเยอะมากอย่างเช่นในเมือง Los Angeles รวมถึงในพื้นที่จำกัดด้วยเช่นกัน และก็ในสังคมชนบทที่มักจะมีประเพณีแบบอนุรักษ์นิยมกันอยู่แล้ว แต่ว่าพื้นที่การเมืองก็มักจะตกลงไป เพราะมีความหลากหลายของผู้คนที่เพิ่มมากขึ้น.

นี่คือสิ่งที่เธอได้เรียนรู้เกี่ยวกับความวิตกและภัยพิบัติต่าง ๆ เป็นเวลาสองทศวรรษ วิกฤตนั้นกำลังทดสอบเราอยู่ เราต่างคนก็ต่างประสบกับความล้มเหลว หรือว่าเราได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ให้เริ่มต้นค้นหาที่พักพิงของจุดแข็ง และประสิทธิภาพที่เรามี แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเราก็มีพลังเหล่านั้นเหมือนกัน เหตุการณ์ที่ทำให้ความวิตกอย่างรุนแรงเกิดขึ้นจะมาเติมเต็มความกลัวในวันนี้ และจะสามารถขยับขยายไปเป็นสิ่งที่ดีกว่าเดิมได้อย่างแน่นอน แต่เราต้องวาดภาพของโลกว่าเราจะต่อสู้ไปเพื่อสิ่งใดก่อน และเราต้องร่วมแรงร่วมใจกันใฝ่ฝันสิ่งนั้น ณ เวลานี้ทุก ๆ สัญญาณเตือนที่บ้านของเรา ก็จะหยุดพร้อมกัน มันคือเวลาที่เราต้องสดับตรับฟัง และมันคือเวลาที่เราจะต้องก้าวข้ามผ่านมันไปให้จงได้.

การเปลี่ยนแปลงระดับมหภาคจะต้องเริ่มจาก ความใฝ่ฝันเพื่อการช่วยผู้อื่นเสมอ

Naomi Klein

สามารถซื้อหนังสือได้ที่

Amazon